บอกตรงๆกันแบบไม่อายเลยว่า Valerian and the City of Thousand Planets คือภาพยนตร์เรื่องนึงที่ผมขออวยออกนอกหน้าเลยครับ เพราะพื้นฐานเลยคือผมชอบดูภาพยนตร์แนว Sci-Fi / Fantasy (ไซ-ไฟ/แฟนตาซี) เป็นพิเศษอยู่แล้ว บวกกับชื่อชั้นของ Luc Besson (ลุค เบซง) ที่เป็นทั้งผู้เขียนบทและผู้กำกับ ผมเชื่อใจในจินตนาการสร้างสรรค์ผลงานของเค้าพอควร ยกตัวอย่างผลงานที่คอภาพยนตร์ไซ-ไฟรู้จักกันดีเช่น The Fifth Element (1997) และ Lucy (2014) ที่จินตนาการหลุดโลกทั้งสองเรื่องเลย



มาว่ากันถึงที่มาที่ไปกัน Valerian and the City of a Thousand Planets คือภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นจากส่วนนึงในหนังสือการ์ตูนชื่อดังของฝรั่งเศส เรื่อง Valerian and Laureline เปิดตัวครั้งแรกในนิตยสารการ์ตูนสัญชาติฝรั่งเศส PILOTE ในปี 1967  เป็นการ์ตูนที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับจักรวรรดิดวงดาวซึ่งก่อตั้งขึ้นมาในอนาคตอันใกล้ช่วงศตวรรษที่ 28 มีจุดประสงค์เพื่อรักษาความสงบให้จักรวาลและห้วงเวลา สองตัวละครนำ วาเลอเรี่ยน และ ลอเรลีน เป็นคู่หูเจ้าหน้าที่พิเศษของจักรวรรดิดวงดาวที่ว่านี้ มีหน้าที่ป้องกันทุกสิ่งอย่างที่รบกวบความสงบจักรวาล ทั้งคู่ต้องพบเจอวัฒนธรรมมนุษย์ต่างดาวอันหลากหลาย และอันตรายมากมายระหว่างการผจญภัย



โดยการ์ตูนภาพชุดวาเลอเรี่ยนนี้ได้ Jean-Claude Mézières (ฌอง- คล้อด เมซิแอร์) เและ Pierre Christin (ปิแอร์ กิสแสตง) เป็นผู้สร้างสรรค์เรื่องราวช่วยกัน ซึ่งเมซิแอร์คือผู้วาดภาพประกอบในทุกๆเล่มที่ผ่านมาทั้งหมด

Valerian and Laureline มียอดขายกว่า 10 ล้านเล่มทั่วโลก และได้รับการแปลกว่า 21 ภาษา มีการตีพิมพ์ยาวนานเริ่มตั้งแต่ปี 1967 จนจบบริบูรณ์เมื่อปี 2010 รวมแล้ว Valerian and Laureline ถูกตีพิมพ์รวมทั้งหมด 21 ฉบับ ซีรีย์นี้จะฉลองครบรอบ 50 ปี ในปี 2017 ซึ่งตรงกับปีที่ภาพยนตร์เรื่อง Valerian and the City of Thousand Planets จะออกฉายในเดือนกรกฎาคม 2017 นี้พอดี

วาเลอเรี่ยนจัดเป็นการ์ตูนไซไฟระดับตำนานของฝรั่งเศส ที่มอบแรงบันดาลใจให้กับโลกไซ-ไฟในวงการภาพยนตร์ของโลก ไม่เว้นแม้แต่ภาพยนตร์เฟรนไชส์ขึ้นหิ้งอย่าง Star Wars ก็มีต้นแบบบางส่วนมาจากเรื่องวาเลอเรียน



ทีนี้ มาว่ากันเรื่องตัวผู้กำกับ ลุค เบซง กันบ้างครับ ย้อนกลับไปเมื่อ 50 ปีก่อน เบซงตกหลุมรักการ์ตูนเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนอายุ 10 ขวบ เบซงเอาแต่ฝันถึง วาเลอเรี่ยน กับ ลอเรลีน อย่างที่เด็กๆทั่วๆไปมีตัวละครการ์ตูนในใจนั่นละ เบซงกล่าวไว้ว่า

“ตอนนั้นผมอายุ 10 ขวบตอนได้อ่านการ์ตูนเรื่องนี้ มันออกทุกวันพุธ แต่มันมีแค่สองหน้าเอง ผมเลยต้องรอถึง 6 วันกว่าจะได้อ่านตอนใหม่ เด็กทุกวันนี้แค่เข้าอินเทอร์เน็ต พวกเขาก็มีทุกอย่างในโลกนี้ให้อ่าน แต่ผมต้องรออาทิตย์นึง เพื่อได้อ่านแค่สองหน้า นั่นแหละที่ทำให้ผมหลงใหลในเรื่องนี้”

เบซงกล่าวถึงความหลังพร้อมดวงตาที่เปล่งประกาย “ผู้หญิงคนแรกที่ผมตกหลุมรักน่าจะเป็น ลอเรลลีน เธอเก๋าและมีอิสระมาก เป็นฮีโร่สาวที่ทันสมัยมากในเวลานั้น ผมคลั่งเธอมาก ส่วน วาเลเรียน ก็เจ๋งเหมือนกัน แต่ขี้เก๊กไปหน่อย เขามักคิดว่าตัวเองเจ๋งที่สุดแล้ว แต่เธอจะคอยพูดว่า 'เหรอ ใจเย็นนะ' ”



“ผมชอบความสัมพันธ์ของสองคนนี้ตั้งแต่แรก นั่นเป็นแรงผลักดันให้ผมยิ่งกว่ายานอวกาศหรือเอเลี่ยนต่างดาวซะอีก มันเหมือน Mr. & Mrs. Smith เวอร์ชั่นอวกาศ คุณรู้ว่าพวกเขาล้อกันเล่น จิกกัดกัน ผมรักทีมนี้มาก”

และ 45 ปีต่อมา เบซงถึงได้มีโอกาสทำความฝันวัยเด็กของตัวเองให้กลายเป็นจริงได้ในที่สุด โดยการนำวาเลอเรียนและลอเรลีนมาสู่แผ่นฟิล์ม โดยใช้คนแสดงจริงๆ เบซงกล่าวถึงแรงจูงใจในโปรเจคนี้ว่า “ผมอยากทำหนังเรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ผมต้องรอให้เทคโนโลยีของโลกพัฒนา จนตามจินตนาการของผมทันซะก่อน”



เบซงกล่าวต่อไปว่า “ฌอง- คล้อด เมซิแอร์ ผู้ที่ให้กำเนิดเรื่องราวของวาเลอเรี่ยน ทำงานกับผมตอนทำ The Fifth Element (1997) เขาถามผมตลอดเลยว่า ‘ ทำไมนายไม่สร้างวาเลอเรี่ยนซักที ’ ผมก็ตอบเขาไปทุกครั้งเหมือนกันว่า ‘ ผมทำไม่ได้ ’ เพราะมันมีตัวละครที่เป็นมนุษย์แค่ 10 หรือ 12 คนเองมั้ง นอกนั้นเป็นเอเลี่ยนทั้งหมด”

จุดเปลี่ยนความคิดของเบซงเรื่องความเป็นไปไม่ได้ในการสร้างวาเลอเรียนออกมาสู่แผ่นฟิล์ม เบซงอธิบายไว้ดังนี้ “ตอนที่ผมได้ดูภาพยนตร์เรื่อง Avatar ในปี 2009 นั่นแหละ ที่เปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ผมรู้ตั้งแต่วินาทีนั้นว่า ความเป็นไปได้ มันไร้ขีดจำกัด”



ลุค เบซง ได้สุดยอดบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านวิชวลเอฟเฟค 3 บริษัทได้แก่  บริษัท WETA Digital, บริษัท ILM (Industrial Light & Magic) และบริษัท Rodeo Fx มาร่วมงาน เพื่อมอบชีวิตมหัศจรรย์ต่างๆในภาพยนตร์เรื่อง Valerian and the City of Thousand Planets ให้ตรงตามจินตนาการของเบซง แบบที่เบซงต้องการออกมาให้สมบูรณ์แบบที่สุด



พูดได้ว่าสามบริษัทที่ว่านี้ คือแนวหน้าด้านวิชวลเอฟเฟคในวงการภาพยนตร์ อยู่เบื้องหลังหนังดังๆหลายๆเรื่อง ยกตัวอย่างเช่น Avatar, Lord of the Rings, Avengers: Age of Ultron และ Lucy จึงทำให้ในภาพยนตร์เรื่อง Valerian and the City of Thousand Planets มีช็อตที่ได้เทคนิคพิเศษถึง 2734 ช็อตเลยทีเดียว เป็นหนังฟอร์มใหญ่ต้องมีวางคอนเซ็ปต์อาร์ต สตอรี่บอร์ด และวิดีโอเดโม่มากมาย


ในหนังเรื่อง Valerian and the City of Thousand Planets ส่วนใหญ่ ผู้ชมจะได้ดูเรื่องราวซึ่งดัดแปลงมาจากหัวหนังสือที่มีชื่อตอนว่า Ambassador of the Shadows ซึ่งเป็นการ์ตูนเล่มที่ 6 ของซีรีย์ เนื้อเรื่องนั้นเริ่มด้วยสองคู่หู ที่ต้องปกปกป้องราชทูตของโลก จากงานประชุมผู้นำการเมืองระดับจักรวาล ก่อนจะลงเอยด้วยการลักพาตัว ที่มีผลต่อความสงบสุขของทุกสายพันธุ์





วาเลเรียน (หรือชื่อจริง วาเลนติน ทเวน) เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ เกิดที่มหานครอัลฟ่าในปี 2715 เป็นวีรบุรุษตามแบบฉบับ มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ กล้าหาญและแข็งแกร่ง ผู้พันวาเลอเรี่ยนมีสัญชาติญาณการวางแผน เขาเป็นนักรบชั้นเซียน เขาทุ่มเทสุดตัวเพื่อทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา เขามุ่งมั่นที่จะก้าวไปสู่จุดสูงสุดในอาชีพทางทหารของเขาให้จงได้



ลอเรลีน เกิดบนโลกมนุษย์ในปี 2717 ไม่ไกลจากศูนย์บัญชาการกองพันท่องเวลาและอวกาศ ด้วยสติปัญญาระดับสุดยอด ความมุ่งมัน และ ความเด็ดเดี่ยว จ่าลอเรลีนจึงกลายเป็นคู่หูคนสำคัญของผู้พันวาเลอเรี่ยนตลอด 2 ปืที่ผ่านมา เธอออกทำภารกิจครั้งแรกร่วมกับเขา ทั้งคู่มีอัตราทำภารกิจสำเร็จ 100% เต็ม พวกเขาเป็นคู่หูที่มีผลงานโดดเด่นมากที่สุดของกองทัพมนุษยชาติ



เดอะอินทรูเดอร์ คือยานอวกาศของวาเลอเรี่ยนและลอเรลีน ซึ่งพาทั้งสองท่องไปในอวกาศและห้วงเวลา (ยานอินทรูเดอร์อ้างอิงจากยาน “Astroship XB982” ในเวอร์ชั่นหนังสือการ์ตูน) ร่องรอยขีดข่วนภายนอกยานแสดงให้เห็นว่า สองคู่หูนี้ผ่านภารกิจเสี่ยงตายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดมามากขนาดไหน



ในศตวรรษที่ 28 วาเลเรียน (เดน เดอฮาน) และ ลอเรลลีน (คาร่า เดอลาวีญ) เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการพิเศษขององค์การปกครองเขตแดนมนุษยชาติ สังกัดกระทรวงความมั่นคง พวกเขามีหน้าที่พิทักษ์สันติสุขให้กับประชาชนทั่วจักรวาล ทั้งสองต้องผจญภัยไปยัง มหานครอัลฟ่า



อัลฟ่า นครพันดวงดาว คือสถานีอวกาศขนาดมหึมาที่แผ่ขยายออก จนกลายเป็นเมืองที่มีสิ่งปลูกสร้างตระการตา เชื่อมต่อดาวต่างๆไว้ด้วยกัน เมื่อศตวรรษที่แล้ว อัลฟ่ายังโคจรอยู่รอบโลก แต่ตอนนี้มันกลายเป็นศูนย์กลางการฑูตระหว่างดวงดาว และเป็นบ้านของเอเลี่ยนพันกว่าสายพันธุ์ทั่วจักรวาล เมื่อเวลาผ่านไปสายพันธุ์เหล่านี้กลายมามีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือร่วมแบ่งปัน ความสามารถ เทคโนโลยี และทรัพยากร เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ให้ดียิ่งขึ้นไป อัลฟ่าโตขึ้นอย่างไม่หยุดนับแต่ปี 1985 ตอนนี้มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 22.4 ไมล์ มีประชากรเกือบ 20 ล้านคน จาก 3236 สายพันธุ์ มีภาษาที่ใช้พูดกันกว่า 5000 ภาษา



โชคไม่ดีนัก ที่มีภัยร้ายกำลังแฝงตัวคืบคลานอยู่ในความมืดของมหานครอัลฟ่า วาเลอเรี่ยน และ ลอเรลีน จึงต้องแข่งกับเวลา เพื่อหาตัวการที่อยู่เบื้องหลัง และหยุดมันก่อนที่จะทำลายมหานครอัลฟ่าของพวกเขา