ถึงคุณหมอเพจเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก และผู้ปกครองทั้งหลาย อย่าใช้ความหวังดีมากไปจนทำร้ายลูกของคุณเอง



วันนี้เพื่อนหลายคนได้แชร์เรื่องราวของเพจดัง พ่อ แม่ และลูก(หลายคน) มาให้ได้อ่าน เมื่ออ่านจบแล้วผมจึงได้ลองไปอ่านในเพจนั้น
รวมทั้งเพจส่วนตัวของแอดมินเพจนั้นด้วย ทำให้ได้เห็นทัศนคติ และวิธีการอบรมเลี้ยงดูลูก ๆ ของเขาแล้ว จับประเด็นได้คล่าว ๆ คือ

1. เกม โทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน แทปเลต เป็นสิ่งเลวร้ายควรดูแลอย่างใกล้ชิด และตัดให้ขาดได้จะดีมาก
2. ตั้งเป้าหมายให้ลูก เช่นอยากให้ลูกเป็นหมอ ก็ต้องแน่วแน่ในเส้นทางนั้น อย่าไขว้เขว อย่าวอกแวก
ต้องสร้างแรงบันดาลใจให้ลูก พาลูกไปดูโรงเรียนที่อยากให้ลูกเรียน ไปดูบอร์ดดูสนาม ดูโรงยิมแล้วย้ำให้เขารู้ว่าจะต้องเข้าเรียนที่นี่ให้ได้
โดยการใช้คำสวยหรูดูดีว่า สร้างแรงบันดาลใจให้ลูก
3. จัดตารางชีวิตประจำวันของลูกโดยเคร่งครัด ทั้งเรียนปกติ เรียนพิเศษ ทั้งเล่น(กับพ่อแม่) อย่างเป็นระบบ ระเบียบ รัดกุมด้วยคำว่า รักและหวังดี

ผมคงไม่บังอาจไปบอกว่าการเลี้ยงลูกแบบนั้นมันถูกต้องหรือไม่ เพราะผมไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้เหมือนคุณหมอที่เป็นแอดมิน
แต่สิ่งที่ผมพอจะบอกได้คือผมเป็นลูกคนหนึ่ง ซึ่งเคยถูกเลี้ยงมาแบบนั้น และผมบอกได้ว่า มันไม่เวิร์คสำหรับผมเอามาก ๆ

ผมเติบโตมาในครอบครัวที่ผู้ปกครองคาดหวังในตัวผม และถูกกำหนดกรอบการเลี้ยงดูไว้ในแบบที่เขาเห็นว่าดี

ตั้งแต่ผมจำความได้ เขาพร่ำสอนผมเสมอว่าผมต้องเป็นคนดี ต้องเรียนให้เก่ง ๆ จะได้รับราชการ มีฐานะดี ๆ เป็นที่เชิดหน้าชูตาในสังคม
เขาพาผมไปที่ทำงานของเขาให้ผมได้เห็นว่าเป็นยังไง แล้วก็ถามว่าผมอยากเป็นเหมือนเขาไหม ซึ่งคำตอบที่ได้คิดว่าทุกคนน่าจะรู้ก็คือ "อยากเป็น"
แต่ที่จริงข้างในผมอยากเป็นแบบนั้นไหม คำตอบคือ "ไม่" ซึ่งเป็นคำตอบที่ผมตอบไม่ได้ นั่นคือต้นกำเนิดของการที่ผมได้เป็นนักแสดงมืออาชีพแล้ว

ผมถูฏเลี้ยงดูมาด้วยวิธีที่เขาเห็นว่าดีที่สุด ผมไม่เคยได้เล่นเกม ไม่เคยได้ดูการ์ตูน หรือสิ่งให้ความบันเทิงใด ๆ แม้แต่ละครหลังข่าว
ความบันเทิงเดียวที่ผมเลือกได้คือฟังเพลงในวิทยุตอนที่คนขับรถไปรับและส่ง ที่คนขับรถให้ผมเลือกสถานีเองได้
ผมไปโรงเรียน ผมต้องทำให้ดีที่สุด ต้องสอบให้ได้ที่ 1 เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาคาดหวังไว้ แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าผมต้องแลกมาด้วยอะไร
คนเป็นพ่อแม่บางคนอาจจะไม่รู้ว่า เด็กบางคนถูกแกล้งถูกรังแก เพียงเพราะเขาเรียนเก่งเกินไป ซึ่งเรื่องพวกนี้ผมก็ไม่สามารถเล่าให้เขาฟังได้
เพราะจะกลายเป็นว่าผมเป็นคนอ่อนแอ และผมเองที่จะเป็นฝ่ายที่ถูกเขาตำหนิ

ทุก ๆ วันตอนทานอาหารเย็นที่ทุกคนพร้อมหน้า จะเป็นเวลาที่ผมไม่มีความสุขมากที่สุด เพราะเขาจะคอยจับตาอยู่เสมอว่าผมทานอะไร
ถ้าเมื่อไหร่ที่เขาเห็นผมทานสิ่งอื่นที่ไม่ใช่ ผัก และปลา เขาก็จะสรรหาสารพัดคุณประโยชน์อันแสนวิเศษของผักและปลามาบรรยาย
แน่หละ ว่าผมเกิดคำถามในใจว่าถ้ามันดีขนาดนั้นและจะทำอาหารอื่น ๆ มารวมไว้บนโต๊ะทำไม
ในระหว่างทานอาหารเขาก็จะถาว่าเรียนวันนี้เป็นยังไง เรียนเรื่องอะไร เพื่อนเป็นยังไง คุณครูชมบ้างไหม เพื่อนยังแกล้งอยู่หรือเปล่า
ซึ่งตรงนี้แหละคือการฝึกฝนให้ผมหัดแสดงละคร ให้ผมเป็นนักแสดงตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะสิ่งที่ผมตอบไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นสิ่งที่เขาอยากได้ยิน
เพื่อที่ผมจะได้ผ่านพ้นสถาณการณ์นั้น ๆ ไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด

เวทีละครของผมคือบ้าน ผู้ชมของผมคือครอบครัว และคนรอบข้าง ผมเรียนรู้ที่จะตีสองหน้า แสดงว่ามีความสุข เป็นเด็กเรียนเก่ง เรียบร้อย นิสัยดี
เป็นเด็กที่ดูร่าเริงแจ่มใส มีรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่ไม่มีใครรู้(นอกจากแม่บ้าน)เลยว่าที่จริงแล้วผมเป็นเช่นไร

เมื่อผมเข้าเรียนมัธยม แม้จะไม่ถูกแกล้งเหมือนตอนประถมแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีชีวิตอย่างเด็กวัยรุ่นทั่วไป
ผมคุยเรื่องเกม เรื่องการ์ตูน เรื่องละครหลังข่าวกับเขาไม่ได้
ผมไม่เคยได้เดินห้างไหน ๆ ถ้าเขาไม่พาไป ไม่เคยได้ไปทัศนศึกษากับที่ทาง ร.ร. จัด เพราะเขาบอกว่าเขาจะพาไปเอง
ผมไม่เคยได้ดูหนังในโรง ถ้าไม่มีญาติผู้ใหญ่พาไป ไม่เคยได้ทานอาหารฟาสต์ฟู้ด เพราะเขาบอกว่าไม่มีประโยชน์
วันเกิดผมเขาพาไปทานอาหารนอกบ้านซึ่งเป็นร้านที่เขาเลือกเองปิดท้ายด้วยเป่าเค้งวันเกิดที่ทำจากวุ้น เพราะเขาไม่ชอบทานเค้ก
ทั้งหมดที่เขาทำเขาไม่ถามเสียด้วยซ้ำว่าผมชอบมั้ย เพราะสิ่งที่เขาตัดสินใจคือสิ่งที่เขาเห็นว่าดีที่สุด
แต่ต่อให้เขาถามผมก็คงตอบเป็นคำตอบที่คิดว่าเขาจะพอใจอยู่ดี นั่นคือวิธีแก้ปัญหาเพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายมากไปกว่านี้

จนเข้ามหาวิทยาลัย ผมสอบเข้าคณะที่เขาต้องการได้ แต่ผมแอบแก้ใบสมัครมหาวิทยาลัย เป็นมหาวิทยาลัยไกลบ้าน
เพราะผมไม่อยากอยู่ใกล้เขาอีกแล้ว บ้านที่ไม่เหมือนบ้าน แต่เป็นตู้โชว์ ที่ผมเป็นเครื่องประดับที่เขาเอาไว้อวดใคร ๆ
เมื่ออยู่หอพักของมหาวิทยาลัย ผมได้พบกับโลกใหม่ โลกที่ผมจะได้เป็นตัวตนของผมจริง ๆ
ผมเที่ยวกลางคืน เล่นเกม ดูหนัง อ่านหนังสือการ์ตูน ไปออกค่ายอาสาต่างจังหวัด ผมได้ทำทุกอย่างที่ผมเคยฝันเอาไว้
และนั่นคือฝันของผมจริง ๆ ไม่ใช่ความฝันที่เขายัดเยีดใส่เข้ามาในหัวผม

แต่แล้วจุดแตกหักก็มาถึง เขาบุกมาถึงหอพร้อมแจกแจงสารพัดความผิด(อันที่จริงคือสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นความผิด) ทำให้ผมรู้ว่าเขาให้คนตามดูผมมาตลอด
ผมพูดความจริงกับเขาเป็นครั้งแรก ว่าฝันของผมคืออะไร และผมเกลียดแค่ไหนที่จะต้องใช่ชีวิตเดินไปตามทางที่เขาขีดไว้ให้เดิน
ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่นก็อาจได้ปรับความเข้าใจกัน) แต่ผมไม่โชคดีขนาดนั้น เราทะเลาะกันถึงขนาดเขาชักปืนมาจะยิงผม ดีว่าแม่เอาตัวเข้าบังไว้
เขาตัดขาดกับผม ไม่ให้กลับบ้าน ไม่ส่งเสียเล่าเรียน ไม่ใส่ใจใยดี ปต่กลับเป็นผมเองที่สบายใจอย่างที่สุด ผมหลุดพ้นจากกรงทองที่ขังผมเอาไว้ได้แล้ว

แม้ตอนแรก ๆ จะต้องปรับตัวอย่างมากมาย เพราะจากลูกคนมีเงินกลายเป็นคนธรรมดาที่มีมีสมบัติพัสถานอะไร
จากเคยกินดีอยู่ดีก็กลายเป็นอดมื้อกินมื้อเพราะต้องหาเลี้ยงชีพด้วยตนเองทุกอย่าง
ผมไม่สามารถกู้ กยศ. หรือขอทุนการศึกษาใด ๆ ได้ เพราะผมยังใช้นามสกุลเขาอยู่ เขายังได้ชื่อว่าเป็น บิดา ซึ่งทำให้ผมขาดถุณสมบัติในทันที

แต่ผมก็ไม่ได้นึกเสียใจ และผมรู้สึกดีใจที่ผมเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวของผมเอง

ตอนสาย ๆ นั่งรถเมลล์ไปมกาวิทยาลัย ตอนเที่ยงหลบเข้าหอสมุดเพราะไม่มีเงินซื้ออาหารเที่ยง อาศัยน้ำดื่มในหอสมุดดื่มประทังหิว
ตกเย็นเดินไปทำงานห้างใกล้ ๆ  มหาวิทยาลัย ห้างปิด เดินไปทำงานร้านอาหาร อาศัยทานของเหลือที่ลูกค้าทานไม่หมด
ตี 1 ร้านปิดเดินกลับหอ เพราะรถเมลล์หมดแล้ว ถึงหอทำงานส่งอาจารย์บ้างอ่านหนังสือบ้างจนตี 2-3
ตื่น 9 โมงอุ่นกับข้าวที่เป็นของเหลือจากเมื่อวาน ส่วนน้ำดื่มเป็นน้ำที่เอาขวดไปกรอกน้ำจากห้องสมุดมา
วันอาทิตย์ได้ซักเสื้อผ้า และตอนบ่ายไปสอนพิเศษเด็กนักเรียน
ชีวิตเป็นแบบนี้ แต่ผมกลับมีความสุขมากกว่าอยู่ที่บ้านมากมาย การที่เขาตัดขาดจากผม ทำให้ผมเป็นอิสระจากเขาเสียที
ผมไม่ต้องใช้ชีวิตในแบบที่เขาอยากให้เป็น ผมไม่ต้องเป็นซุปเปอร์แมนที่ดีพร้อมอย่างที่เขาฝันไว้
ผมยินดีที่จะเป็นแค่คนธรรมดาที่เจ็บได้ร้องให้เป็น เป็นแค่คน คนหนึ่งที่มีความฝันของตัวเองเหมือน ๆ กัน

ในเทอมถัดมาผมไปสมัครเรียนมหาวิทยาลัยเปิด ในคณะที่ผมอยากจะเรียน แล้วเรียนควบคู่กันไป
ผมจบได้ปริญญา 2 ใบ โดยที่ไม่มีญาติพี่น้องคนใดมาร่วมแสดงความยินดี เพราะเขาสั่งห้ามเอาไว้
จะมีก็แต่ช่อดอกไม้ปริศนาที่ผมรู้ว่าแม่แอบส่งมาให้ ผมได้ทุนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ และใช้ชีวิตสร้างเนื้อสร้างตัวอยู่ที่นั่น
จนผมประสบความสำเร็จได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาเงินของเขา บารมีนามสกุลของเขา

แม้ตอนนี้เขาจะอ่อนลงมากแล้ว และผมสามารถกลับไปที่บ้านนั้นได้แล้ว แต่มันก็ยังคงมีกำแพงบาง ๆ มาขวางกั้นอยู่
ผมรู้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเขาทำไปเพราะความรัก แต่มันอดมีคำถามในใจไม่ได้ว่า เขารักผมจริง หรือเขารักตัวเองกันแน่
การที่เขาเลี้ยงดูผมมาแบบนั้นเพราะเขาอยากให้ผมได้ดี หรืออยากให้ผมเป็นแบบที่เขาฝันเอาไว้


ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ก็เพื่ออยากให้คุณหมอที่เป็นแอดมินเพจนั้น รวมไปถึงคุณพ่อคุณแม่ที่ติดตามและชื่นชมคนหมอคนนั้นได้ทราบว่า
ต่อให้คุณจะมีข้ออ้างเรื่องความรักและหวังดีในตัวลูกมากแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วลูกของคุณก็ยังคงเป็นคน ที่มีชีวิตจิตใจคนหนึ่ง
สิ่งที่คุณพยายามอย่างเหลือเกินที่จะทำให้เขาได้เป็นอย่างที่คุณฝันเอาไว้แต่สุดท้ายแล้วชีวิตยังเป็นของเขา เพราะงั้นเขาก็มีความฝันของตนเองเช่นกัน
อย่าเอาความฝันของคุณไปยัดใส่ในความฝันของลูก ให้คำแนะนำได้ แต่ไม่ใช่ไปตัดสินใจแทนเขา

ตอนที่ลูกของคุณยังเล็ก เขาก็อาจจะเชื่อฟังคุณอยู่ และยอมตามคุณอยู่ เขาอาจจะยังแลดูมีความสุขอยู่
แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเขาเจอโลกจริง ๆ เจอความฝันที่เป็นความฝันของเขาจริง ๆ ถึงตอนนั้นคุณอาจสูญเสียเขาไปตลอดกาล

จริงอยู่ที่การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีและประสบความสำเร็จนั้นไม่ง่าย
แต่การเป็นลูกที่ถูกเลี้ยงดูโดยผู้ปกครองที่เลี้ยงดูแบบผิด ๆ ให้ประคับประคองตนเองให้โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและประสบความสำเร็จก็ไม่ง่ายเช่นกัน

ผมโชคดีเหลือเกินที่ยังมีเพื่อนดี ๆ ที่คอยด่าผมเวลาผมหลงทาง
ผมโชคดีที่ยังมีแม่ที่แม้จะช่วยเหลืออะไรไม่ได้มากมาย แต่ก็อยู่เคียงข้างเสมอมา และกล้าเอาชีวิตตนเองมาปกป้องผมเอาไว้
ถึงผมจะไม่ได้เป็นใหญ่เป็นโต มีเกียรติอย่างที่เขาหวังไว้ แต่ผมก็มีฐานะมั่นคงมีความสุขตามอัตภาพได้แบบไม่อายใคร

แต่ถ้าลูกของคุณหมอเกิดเขาเรียนรู้ที่จะแสดงละครหลอกผู้ใหญ่อย่างที่ผมเคยทำ
หรือถ้าเขาแบกรับความคาดหวังที่ผู้ปกครองให้เขาแบกไว้ไม่ไหว คุณอาจสูญเสียเขาไปตลอดกาล

ลองตรองดูให้ดี เกม คือปัญหา หรือการเลี้ยงดูของคุณเองที่เป็นปัญหา


ปล. บอกเผื่อคุณหมอ และคุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายนะครับ
ที่โรงเรียนประถมใกล้บ้านผมเขาสอนเกม MineCraft กันในโรงเรียนเลยนะครับ
และไม่มีผู้ปกครอง สื่อ หรือนักวิชากรคนไหนมาคัดค้านการสอน หรือป่าวประกาศเลยว่าเกมเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างที่คุณหมอกำลังทำอยู่

หมายเหตุ ผมไปโพสในเพจของคุณหมอแล้ว ไม่มีคำหยาบคาย ไม่มีคำเสียดสี ไม่มีข้อความหมิ่นประมาท แต่ผมโดนลบโพสและโดนบล๊อค ทำให้ไม่สามารถโพสในเพจนั้นใด้อีก

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 66
ผมตามเพจแกอยู่ ไล่อ่านสเตตัสอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ ยกเว้นเรื่องเกมนี่แหละแกสุดโต่งมาก มองเป็นภัยความมั่นคงของชาติไปเลย

ถ้าจำได้ ( หรือจำไม่ได้ไปอ่านกระทู้นี้ ผมแคปไว้อยู่ https://pantip.com/topic/33880287 ) แกเล่าว่าตอนเด็กแกก็อยากเล่นเกม แต่พ่อไม่ซื้อให้ ซึ่งแกก็บอกว่า "ถูกแล้ว" เพราะถ้าวันนั้นแกได้เล่นเกม แกก็คงไม่ได้เรียนแพทย์และจบออกมาเป็นหมอ

อ่านตรงนี้แล้วผมนึกถึง "ปมทางจิต" อย่างหนึ่ง ( ใครเรียนจิตวิทยามา ช่วยอธิบายให้หน่อยก็ดีมันเรียกว่าอะไร ) คือเมื่อไม่ได้สิ่งนั้นในช่วงเวลาที่อยากได้ที่สุด กลไกป้องกันตัวเองจะบอกว่า "ดีแล้ว" แล้วก็หาเหตุผลมารองรับเหตุการณ์นั้นเพื่อให้ใจยอมรับ ทำนองการปลอบใจอย่างหนึ่งไม่ให้เจ็บปวดมากไป

ถามว่ามันดีไหม? มันก็เป็นปกติของคนเรานั่นแหละ ถ้าจิตใจจมกับทุกข์มันก็ไม่มีแรงไปทำอย่างอื่นหรอก แต่แบบนี้มันก็มีผลข้างเคียง คือเมื่อเราพยายาม "ย้ำ" กับตัวเองว่า "ใช่!..สิ่งนั้นมันไม่ดี" เพื่อที่จะได้มีแรงทำสิ่งอื่นๆ ที่ ( มีคนกำหนด ) ว่าดี นานๆ ไปเราก็จะมองสิ่งนั้นว่าไม่ดีไปเสียทั้งหมด "เหมารวมแบบสุดโต่ง" และอาจจะหงุดหงิดทุกครั้งที่เห็นบางคน ( หรือหลายคน ) ทำสิ่งที่ตนเองเคยสั่งจิตให้ไม่ชอบ แต่ก็ไม่เห็นว่าคนเหล่านั้นจะเสียอนาคต กลายเป็นคนเลวคนชั่วอย่างที่ตนเองเชื่อแต่อย่างใด

ผมเลยเดาเล่นๆ ว่าหมอแกมีปมกับเกมเพราะเหตุนี้หรือเปล่า? เพียงแต่แกไม่รู้ตัว

( คืออาการจากปมของแต่ละคนนี่มักจะแสดงออกโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ ไม่เชื่อลองสังเกตตัวเองสิครับ เรื่องไหนที่เราหงุดหงิด รำคาญ ไม่พอใจมากๆ แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับเรา และแม้คนส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ลองนึกย้อนดีๆ จะพบบางเหตุการณ์ในอดีตที่ทำให้เราจดจ่อและอินกับเรื่องนั้นเป็นพิเศษ )

ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ผมว่าหมอแกก็น่าสงสารเหมือนกันนะ และนี่คือบทเรียนที่ดีถึงพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนเลย ว่าถ้าลูกหลานอยากทำอะไรก็ให้เขาทำไปเถอะตราบเท่าที่ไม่ผิดกฎหมายและศีลธรรมจริยธรรม จริงอยู่ที่การเรียนสำคัญ แต่มันคงไม่จำเป็นต้อง ได้ 4 ได้ A ทุกวิชา ไม่จำเป็นต้องเป็นอาชีพนั้นอาชีพนี้ถึงจะดีที่สุด เอาแค่มันไม่สอบตก ไม่เกกมะเหรกเกเรก็พอแล้ว

มันจะมีประโยชน์อะไรที่พ่อแม่ทำให้ลูกได้เป็นชนชั้นนำ แต่เป็นชนชั้นนำที่มีจิตใจอคติแบบสุดโต่ง? เพราะความสุดโต่งย่อมนำมาซึ่งความไม่พยายามเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น

ลงท้ายก็จบลงด้วยความรุนแรง..ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

แต่อีกมุม จริงๆ เรื่องการปั้นลูกเป็นชนชั้นนำนี่มันก็พูดยากนะ บ้านเรามันฝังหัวมานานแล้วว่ามีบางสถานะที่มีอภิสิทธิ์กว่าคนอื่นๆ เช่น มีคำนำหน้าชื่อว่า "พลเอก" , "นายแพทย์" , "ด็อกเตอร์" อะไรแบบนี้แหละ คนเหล่านี้พูดอะไรก็มีคนพร้อมจะเชื่อ พร้อมจะมีคนทำตามอย่างไม่ต้องคิดตั้งคำถามใดๆ ( ดูอย่างตัวหมอแกก็ไม่ได้จบจิตวิทยาเด็ก แต่สอนการเลี้ยงลูกในเพจแกได้ สาวกเยอะด้วย เพราะความเป็นหมอนี่แหละ ) พ่อแม่ก็อยากให้ลูกสบาย ก็ต้องทำทุกอย่างให้ลูกไปถึงตรงนั้น จะใช้วิธีผิดๆ ก็เอาถ้ามันทำได้ เพราะคุ้มไง มี ดร. พล.อ. นพ. กี่คนที่ไม่มีเส้นสาย connection ไว้คุ้มครองบ้างล่ะในประเทศนี้ มันไม่ใช่แค่มีเงินเดือนสูงอย่างเดียว

( ไม่งั้นเราคงไม่ได้ยินข่าวคนพยายามจ่ายแป๊ะเจี๊ยะ ร.ร. ดังๆ หรือกุ้หนี้ยืมสินให้ลูกไปกวดวิชา เพื่อจะได้เข้าไปเรียนในสถาบันที่สร้างคำนำหน้าที่ว่าให้ลูกได้ )

พอจะโกรธพ่อแม่ที่เชื่อหมอแก ผมก็โกรธไม่ลงอีกนะ คือผมก็คนยุคกึ่งเก่ากึ่งใหม่ไง ถ้าใครอายุ 30+ น่าจะเคยเห็นหนังไทย-ละครไทย ชอบเอาปมที่พ่อแม่บังคับให้ลูกเรียนอย่างเดียว ไม่พอใจทุกครั้งที่เห็นลูกใช้เวลาไปกับกีฬาหรือดนตรีมาเล่น แล้วลงท้ายก็คือลูกหนีออกจากบ้านไปเสพยากับเพื่อน ( เมื่อก่อนกีฬา-ดนตรีนี่แหละที่ผู้ใหญ่มักมองว่าไม่มีประโยชน์ เป็นพวกเต้นกินรำกินอะไรก็ว่าไป ส่วนการ์ตูนหรือเกมนี่เข้าขั้นสิ่งมอมเมาไปเลย น้าต๋อยเซมเบ้ยังเคยถูกเชิญไปชี้แจงที่คุรุสภามาแล้ว )

นาทีที่ 13.45-15.08 นะครับ

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

พูดยากนะ!!!

TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
ผมมีลูก 2 คน ... ตอนนี้เข้า เรียนวิศวะ จุฬา ปี3 จะจบอีก 1 ปี
  ลูกอีกคน ม.5

.. ที่บ้าน จัดคอมฯ ให้คนละตัว Spec เล่นเกมส์หนักๆได้
.. เน็ตบ้าน 35/15Mbps
.. อยากเล่นอะไรเล่นเลย แนะไปเล่น
   Dota / Garena / HORN มันฝึกทีมเวิร์ค วางแผน รู้แพ้รู้ชนะ การสร้างตัวเอง เล่นจบ 30-40 นาที ..... และพวกเต้นรำ เกมส์เศรษฐี
***** ยกเว้นพวกเกมส์ Online ที่ต้องUpLevel ซื้อItem อย่าให้เล่นเด็ดขาด .. คุมการใช้เงินไม่ให้ไปซื้อบัตรเติมเกมส์ ซื้อItem .. พอเด็กเล่นสู้ไม่ได้ก็เลิกไปเอง
สุดท้ายเด็กก็จะแบ่งเวลาเล่นเกมส์เอง เพราะเพื่อนๆทีม Dota Garena มันโดนพ่อแม่คุม หลังการบ้าน หรือเรียนพิเศษเล่นไม่เกิน 5ทุ่ม วันละ 1-2 ชม 3เกมส์

ช่วงสอบ พวกก็ชวนกันอ่านหนังสือเอง ไม่ต้องบังคับ อยากเรียนพิเศษเอง ไม่ต้องบังคับแค่ ดูคุมห่างๆ ตบไม่ให้ออกนอก ....
พอเราไม่บังคับ จัดสิ่งแวดล้องปรกติทั่วไป แนะแนวให้เห็นภาพอนาคตบ้าง อย่าไปช่วยเหลือซะทุกเรื่อง ให้มันทำทันเอง เด็กก็จะมีความคิดเอง และทำเอง อยากมีอยากได้เอง ... เป็นผู้ใหญ่เองโดยอัตโนมัติ

คนโตก็ไปเรียน วิศวะ ม.ดังในกทม. อยู่หอ ใช้ชีวิตเองได้ เป็นผู้ใหญ่ ให้เงินเดือนไปบริหารจัดการเอง เก็บออมเอง อยากได้ของอะไรก็ออมเก็บเงินซื้อเอง ... ทุกวันนี้ก็ยังเล่นเกมส์กับเพื่อนๆ ปรกติ สอบก็เลิกเล่น หลังสอบก็กลับมาเล่น ปรกติ ........ คาดว่าน่าจะพร้อมแล้วสำหรับชีวิตการทำงาน
ความคิดเห็นที่ 10
การดูแลเด็กในช่วงแรก 1-7 ขวบต้องดูแลแบบฝึกทหารครับ

คือไม่ต้องมีออฟชั่นให้เด็กเลือก มากมายแบบเปิดกว้าง
ปัจจัยสี่ การสื่อสาร การเดินทาง การใช้ทรัพยากร การเรียนรู้ พ่อแม่ต้องเลือกจัดให้ทั้งหมด
อย่าให้เด็กต่อรองเรื่องพวกนี้มากไป ไม่งั้นพ่อแม่จะสอนอะไรไม่ได้เลย

1. เพราะถ้าเด็กมีทางเลือกมากไป หรือพ่อแม่สังคมรอบข้างสอนไม่เหมือนกัน เด็กก็จะสับสนและเขาก็จะไม่ฟังทั้งพ่อและแม่
แต่จะเลือกเชื่อพ่อหรือแม่ตามที่ตัวเองชอบเท่านั้น วันนี้ชอบที่แม่สั่งก็ทำตามแม่ พรุ่งนี้ชอบที่พ่อสั่งก็ทำตามพ่อ
เรื่องไหนชอบแบบไหน ก็จะเอาตามอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง คือหลีกหนีไปมา
และไขว่คว้าค้นหาระหว่าง คำสั่งที่แตกต่าง ว่ามีอะไรต้องทำเวลาไหน แล้วก็
เอาตัวบุคคลเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่เอาสิ่งที่ควรทำเป็นที่ตั้ง

ยิ่งพ่อแม่เอาใจ  พร้อมเปิดออฟชั่นมากมาย หรือคนนั่นบอกว่าได้ คนนี้บอกไม่ได้
เด็กก็ยิ่งสับสน ว่าเขาทำอะไรได้บ้าง ทำอะไรไม่ได้บ้าง แล้วเด็กจะไม่เรียนรู้เลย
เพราะเด็กไม่สามารถ จับหลักการได้ ว่าเรื่องไหนสถานการไหนต้องทำแบบไหน
แต่จะอาศัยไหลไปตามคนที่เด็กอยู่ด้วยแทน พอไม่พอใจคนนั้นก็หนีไปอยู่กับอีกคน
แค่นั้นเด็กก็แก้ปัญหาของตัวเองได้แล้ว

2. และนั่นคือการเรียนรู้ด้วยตัวเองจะเกิดขึ้น แต่เป็นการเรียนรู้ปรับตัวเพื่อเอาตัวรอดตามปกติของคน
เป็นเหมือนสังคมชนเผ่ายุคโบราณไม่มีผิด

3. ยิ่งพ่อแม่ไม่ฝึกให้เขาทำสิ่งต่างๆเล็กน้อยๆด้วยตัวเองบ้าง มุ่งทำให้ทุกอย่าง
ก็ยิ่งทำให้ไม่สามารถสอนเด็กได้ เพราะเด็กไม่ต้องจำอะไรทั้งสิ้น
ใช้วิธีดิ้นเอา เดี๋ยวก็มีคนมาทำให้เอง การมีปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมของเด็กจะเสียหายอย่างมาก
เด็กไม่จำเป็นจำต้องแคร์คนอื่น เด็กจะแคร์แต่คนที่ให้ประโยชน์กับตัวได้ ในสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น

4. และถัดจากนั้น ก็จะไม่สามารถสั่งสอนเด็กให้จดจำ หรือฝึกทำอะไรที่ดีๆได้
เพราะเด็กมีทางเลือกที่จะได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยไม่ต้องใช้วิธีจำ
คนไหนตามใจก็ไปกับคนนั้น ซึ่งสบายกว่าเยอะเลย ไม่พอใจพ่อฝึกให้ล้างก้น ก็ไปหาแม่
ไม่พอใจแม่ให้ติดกระดุมเอง ก็ไปหาปู่ย่า ไม่พอใจพี่ให้ตักข้าวใส่ปากเอง ก็ไปให้พ่อป้อน

คือความฉลาดในการหาตัวช่วยมีสูง แต่ความอดทนในการเรียนรู้ฝึกตัวเองมีจำกัดมากๆ
แล้วเด็กคนนั้นจะพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นพวก "เด็กเปรต"

เพราะฝึกสอนอะไรก็ไม่ได้เลย แล้วความจำของเด็กแย่มากๆ เมื่อฝึกเรียนรู้ท่องจำอะไรก็ไม่ได้
ฝึกทำเรียนรู้ขั้นตอนอะไรก็ไม่ได้ ท่องก็ผิด จำก็ไม่ได้ ทำก็ไม่ถูกใจพ่อแม่เด็กจะรู้สึกล้มเหลว
แล้วยิ่งเกลียดการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

แล้วเด็กจะใช้วิธีเดิมคือ เลี่ยงที่จะฝึกจำขั้นตอนต่างๆ เลี่ยงที่จะฝึกตัวเอง แต่หันไปเล่นอย่างอื่นที่ไต้ต้องฝึกฝนตัวเองแทน
คือขาดความอดทนในกากรเรียนรู้ สถานการณ์ก็จะยิ่งเลวร้ายทบทวีคูณไปเรื่อยๆ
จนในที่สุด หากต้องเรียนรู้เด็กก็จะเลือกวิธีเรียนรู้ตามที่ตัวเองคิดว่า เหนื่อยน้อยที่สุด ผิดพลาดน้อยที่สุด
นั่นคือเรื่องเดิมๆที่ทำเป็นอยู่แล้ว  ซึ่งไม่ได้ช่วยพัฒนาอะไร

และมักไม่ยอมลองอะไรใหม่ๆเลย เพราะทำอะไรไปก็ทำผิดเสียทั้งนั้น
เด็กจะจำใว้เอง ว่าอะไรทำแล้วชอบ อะไรทำแล้วไม่ชอบ คือตัดสินใจเลือกเองทุกเรื่องตามความเคยชิน
โดยไม่รู้สถานการณ์ความจำเป็นอะไรเลย  พ่อแม่ให้ฝึกให้ลองอะไรก็ไม่เอาแล้ว

----------------------------------------------------------------------

เด็กเล็กๆ ไม่ต้องมีทางเลือกอะไรมากหรอกครับ
1. จะเอาหรือไม่เอา มีแค่นั้นครับ
2. เอาอย่างนี้หรือเอาอย่างนั้น
3. ถ้าไม่เอาอย่างนี้ก็ต้องเอาอย่างนั้น

บางคนอาจคิดว่านี่คือการกดดันเด็ก แต่นั่นคือผู้ใหญ่คิดไปเอง
เพราะเด็กไม่รู้ว่ามีทางเลือกอะไรบ้างกี่อย่าง
ถึงรู้เด็กก็ไม่มีข้อมูลพื้นฐานและประสบการณ์พอที่จะตัดสินใจอะไรได้หรอก

ในหลายๆกรณี เด็กต้องการความมั่นใจแค่
อะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ และต้องใช้เงื่อนไขอะไรเพื่อให้ทำได้

ถ้าต้องกินข้าวให้เสร็จก่อน จึงจะเล่นได้.. พ่อแม่คนรอบข้างสอนเหมือนกันหมด เด็กก็ชัดเจน ไม่สับสน
และเด็กก็จะอยากเรียนรู้เงื่อนไขอื่นๆ เพื่อจะได้ทดลองทำเรื่องอื่นๆเพิ่มได้อีก
เมื่อสังคมชัดเจนสอนตรงกัน เด็กก็จะมีความมั่นใจ กล้าคิดกล้าทำไปเองครับ

------------------------------------------------------------------

เมื่อเด็กเรียนรู้เงื่อนไขชัดเจนว่า ถ้าเลือกอย่างไหน ต้องยอมเสียอย่างไหน
ถ้าทำอย่างไหน จะได้อย่างไหนกลับเป็นที่แน่นอน
เด็กก็จะอดทน เรียนรู้เพื่อจะฝึกตัวเองให้ได้ตามที่ผู้ใหญ่ต้องการ
เพื่อใช้เป็นเงื่อนไข เอามาต่อรองกับเรื่องที่ตัวเองต้องการต่อไป ก็จะสามารถพัฒนาตัวเองได้

1 นอกจากการเอาใจแบบไร้สาระ ให้ทางเลือกมากมายจนเด็กไม่ต้องฝึกตัวเองเลย
อยากได้อะไรก็ดิ้นร้องงอแงเอา เดี๋ยวมีคนประเคนให้เอง

2 และเรื่องสอนไม่เป็น เด็กฝึกจับช้อนข้าวหกก็ไปดุ (กลัวต้องเช็ดโต๊ะ) เด็กก็เรียนรู้ฝึกใช้นิ้วใช้มือไม่ได้
เด็กอยากเล่นกวาดขยะก็ไปดุ (เพราะกลัวขยะเลอะบ้าน) เด็กก็ฝึกใช้มือฝึกใช้แขนไม่ได้
แต่พอเด็กร้อง ดันเข้าไปโอ๋ทันที อันนี้สอนผิดมากๆ

3 อีกเรื่องคือพ่อแม่สังคมรอบข้างอาจจะพยายามสอน แต่เรื่องเดียวกัน ดันสอนไม่เหมือนกัน ขาดความชัดเจน
ทำให้เด็กสับสนนี่หละ

เรื่องพวกนี้คือปัญหาใหญ่
ความคิดเห็นที่ 11

ผมชอบภาพนี้ของคุณ ชฤต ภูศิริ มาก

ภาพที่แสดงถึง แม่ ที่ทำเหมือนลูกเป็นตุ๊กตา บังคับทำตามความฝันตัวเอง เพียงเพื่อต้องการส่งไปประกวด หรือ อวดชาวบ้าน

เครดิต teenee.com
ความคิดเห็นที่ 5
ผมสงสัยว่าแฟนคลับเขานี่จริงจังหรือโพสเอาฮากันแน่
คือมันโคตรเซอร์เรียลเลยนะ เหมือนลัทธิล้างสมองเลย

แบบว่าคุณแม่ที่เชื่อเนี่ยเขาไม่เคยมีวัยเด็กเลยเหรอ
ตอนยังเด็กคุณแม่เขาไม่เคยเล่นหมากเก็บกระโดดหนังยางม้าก้านกล้วยหรืออะไรพวกนั้นเลยเรอะ
(เอาจริงๆ ดูจากบริบทแวดล้อมผมว่าคุณแม่อาจจะเด็กกว่าผมด้วยซ้ำ เพื่อนผู้หญิงผมมันก็เคยเล่นปังย่าเล่นซีลออนไลน์กันหมดนะ)

คุณแม่เขาเกิดมาจากกระบอกไม่ไผ่ หรือวินาทีแรกที่ดูโลกก็เป็นแม่แล้วอย่างนั้นเรอะ

มันหลุดโลกจนไม่น่าจะเชื่อว่าคนจริงๆจะสุดโต่งได้ขนาดนั้นเลยนะ

อีกอย่างคุณแม่คบกับคุณพ่อจนแต่งงานมีลูกกันเนี่ย ไม่เคยเห็นคุณพ่อเล่นเกมสักครั้งเดียวในชีวิตเลยเรอะ
ถ้ารังเกียจเกมอย่างกะยาบ้านขนาดนั้นน่าจะเลิกกันตั้งแต่คุณพ่อหยิบมือถือมาเล่น Angry Bird หรือปั่นกาชาแล้วนะ

ถ้ามองในมุมเดียวกันถ้าผมมีแฟน และแฟนผมทำเรื่องที่ผมรังเกียจ
อย่างเช่นขายตัวหรือขายยาเสพติด หรือเป็นมือปืน
ผมจะรอให้มีลูกแล้วเธอสอนลูกให้ทำตามผมค่อยมาเครียดเรอะมันไม่เมคเซนส์เลยนะ
ความคิดเห็นที่ 7
เดี๋ยวนี้คนจบหมอ จะตั้งเพจเเบบไหนก็ได้ค่ะ จะเขียนบทความยังไงก็ได้
ยังไงคนก็ตาม จริงๆ ตามสายตาเรา ไม่ต่างจากเน็ตไอดอลไก่กาเลยค่ะ
คนตามเยอะไม่ได้เเปลว่าดี คนไลค์เเชร์เยอะไม่ได้เเปลว่าเจ๊ง
เเต่อย่างว่า คนไทยค่ะ ดาราถืออาหารเสริมถ่ายลงเฟสลงไอจี ก็ตามซื้อกันเเล้ว
จะต่างอะไรกับหมอที่ออกมาพูดอะไร คนก็เชื่อ ยิ่งดิจิตอลมันเเพร่ไปเร็ว ยิ่งกว่าเชื้อโรค
เราไม่ค่อยได้ตามหมอคนไหนที่ตั้งเป็นเเอดมินเพจ
เราคลุกคลีกับหมอมามาก คนเป็นหมอ ไม่ใช่จะมีใจเป็นหมอทุกคน
หมอที่ยอมรับว่าเลือกเพราะเงินเดือนก็มี ที่ยอมรับว่าเพราะคณะเเพทย์คะเเนนสูงก็มี
อย่างข่าววันก่อนนั่นไง ติดเเพทย์ยกห้อง เเต่ถามกลับ มีใจเป็นเเพทย์จริงกี่คน ยกห้องจริงน่ะเหรอ

หมอคนนี้ไม่ได้ทำผิด เเค่ทำไม่ถูกใจ เขามีเหตุผลของเขา เช่นเดียวกันกับคนอื่นที่จะชอบหรือไม่ชอบก็ได้
เเต่ทุกอย่างนั้นตกอยู่ที่ลูกค่ะ ทั้งลูกคุณหมอ ลูกคนที่เชื่อ ถ้ามันดีจริง เดี๋ยวลูกเขาก็ได้ดีเอง
ค่อยคอยดูตอนนั้นไป สำหรับเราก็เลี้ยงลูกเเบบของเรา ทำไมเราจะต้องเชื่อที่เหมาะพูด
งานวิจัย ข่าวต่างประเทศก็มีให้อ่าน ไม่จำเป็นต้องได้จากมุมของหมอไทยอย่างเดียว
เปิดตาดูหมอต่างประเทศบ้าง เมืองไทยเข้ายุคดิจิตอลมาเป็นสิบปีเเล้ว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่