ทำไมอาชีพเซล ถึงกินฟรี ชีวิตดี งานสบาย ใครๆก็พูดแบบนี้ จริงเหรอ? มาเจาะลึกกัน

เราได้อ่านกระทู้แนะนำกระทู้นึง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เลยเกิดความคิดว่า ทำไมคนถึงมองอาชีพเซลแบบนี้ วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้ฟัง เผื่อน้องๆที่กำลังจะเลือกเดินสายอาชีพนี้จะได้มีข้อมูล หรือใครที่เป็นเพื่อนร่วมสายอาชีพกัน มาแชร์ประสบการณ์กันได้นะคะ ว่าผ่านอะไรกันมาบ้าง 555

เราทำงานเป็นเซลมาเกือบสิบปีแล้ว ด้วยความที่เราเป็นคนลุยๆ และอายุยังไม่มาก เราเลยเข้ากับคนได้ทุกแผนกในโรงงาน เราชอบไปคุยกับพี่ๆคนงานในไลน์ผลิต พี่ๆหัวหน้าแผนกผลิต จัดซื้อ คิวซี ไอที บุคคล บัญชี แม่บ้าน ยาม

เราเลยรู้ว่าทุกอาชีพ "ไม่มีอาชีพไหนสบายเลยค่ะ" ทุกอาชีพมีความลำบาก ความขมขื่นจากการทำงานกันทั้งนั้น มากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง แต่ละแง่มุมของสายอาชีพนั้นๆ เช่น

"แม่บ้าน" ทำไมพนักงานต้องทำงานแทบตาย ในขณะที่อาชีพแม่บ้านในออฟฟิสสบายจัง มาก่อนก็ได้โอที มาทำงานก๊อกๆแก๊กๆ ว่างก็เล่นหวย ลูกค้ามา กลับหลังห้าโมงเย็น แค่นั่งรอเสิร์ฟกาแฟ กระดิกขาเบาๆ ก็ได้โอทีเพิ่มอีก
มองแบบนี้ดูเหมือนจะชีวิตดีนะคะ แต่ความจริงไม่ใช่เลย อาชีพแม่บ้านออฟฟิสนี่งานหนักนะคะ ต้องดูและรับผิดชอบทั้งออฟฟิส ทุกซอกทุกมุม ต้องรองรับอารมณ์คนทุกแผนก อีกทั้งอารมณ์เจ้านายอีก งานบางอย่างเช่นห้องน้ำ ของหกเลอะเทอะ คนอื่นไม่อยากทำ พี่แม่บ้านก็ต้องมาทำ เห็นไหมคะ หนังคนละเรื่องกันเลย

อย่างเราเองเป็นเซลมาเกือบสิบปี เจอมาเยอะค่ะคนที่บอกว่า แหมเป็นเซลนี่ดีจัง ได้ไปเมืองนอก ไปเที่ยว ไปกินอาหารดีๆ ออกงานกับบริษัท ไปกับลูกค้า ดูชีวิตดี มีอภิสิทธิ์ แต่ความจริงแล้วคือ
1. การทำงาน
เราเคยต้องทำงานแทบทุกวันแบบโอฟรี เนื่องจากเราเป็นเซลขายต่างประเทศ ลูกค้าเวลาต่างกับเรา บางทีตีสองต้องลุกมาส่งเมลตามงานด่วนลูกค้า ซึ่งเพื่อนๆในบริษัทก็คงไม่มีใครมารับรู้กับเรา แต่เราก็ต้องทำ เพราะมันคือหน้าที่ คืองาน คือความรับผิดชอบ

2. เวลาไปต่างประเทศ
มันลำบากนะคะ ไม่ได้สบายอย่างที่คิด หนักสุดเราเคยเลิกงานห้าทุ่ม รีบกลับไปบ้านเเพ็คกระเป๋า รถบริษัทมารับเที่ยงคืน ถึงสนามบินตีสอง เครื่องออกเช้ามืด ไปถึงที่ต่างประเทศตอนเช้า ไปถึงนึกว่าจะได้กินข้าว ได้อาบน้ำ ได้เข้าห้องพัก เปล่าค่ะ!! ต้องลากกระเป๋าเดินทางใบหนักๆไปที่ Exhibition Hall เพื่อรีบจัดบูธงานแสดงสินค้าของบริษัท กว่าจะเสร็จก็เกือบเที่ยง ถึงได้กินข้าว

กินเสร็จ อย่านึกว่าจะหมดแค่นี้นะคะ เราต้องเอาของกลับไปโรงแรม ทีนี้จากที่ยังไม่ได้นอนมาเลย คงได้นอนซะที ... เปล่าค่ะ!! ต้องรีบอาบน้ำ เปลี่ยนชุด ออกไปพบลูกค้าเพื่อพาลูกค้าไปดูบูธ ไปทานข้าวเย็น กว่าจะเสร็จ กลับมาถึงห้องก็เที่ยงคืน น้ำไม่ต้องอาบแล้วค่ะ เห็นหมอนก็สลบแล้ว สรุปไม่ได้นอนเลยเกือบ 24 ชม.

ถ้าเป็นแผนกอื่น ป่านนี้คงกลับบ้าน หรือเปลี่ยนกะไปกินข้าว พบหน้าครอบครัวแล้วค่ะ เรานี่คิดถึงบ้าน โทรกลับค่าโทรก็แพง เน็ตก็มีบ้างไม่มีบ้าง

ยิ่งไปต่างประเทศกับเจ้านาย อย่าคิดว่าจะได้เที่ยวนะคะ ต้องคอยเดินตามเจ้านายต้อยๆ ไปพบลูกค้า เจอลูกค้าดีก็ดีไปค่ะ เจอลูกค้าที่มีปัญหากับบริษัทเช่น เคลม หรือเรื่องการจ่ายเงิน ก็ต้องมาทนอึดอัดฟังลูกค้าต่อว่า ทำไมของคุณภาพห่วยแบบนี้ ทำไมส่งของช้า คุณทำให้ผมขาดโอกาสในการขาย คุณจะช่วยผมยังไงกับเรื่องนี้ ลดราคาให้ผมล็อตหน้าได้ไหม ความอึดอัดแบบนี้ เซลก็เหมือนคนกลางนะคะ โดนลูกค้าด่าก็ต้องยิ้ม แถมกลับมาออฟฟิสถ้าซวยโดนเจ้านายด่าต่อก็ต้องทนยิ้มอีก หน้าชื่นอกตรมค่ะ

ห้ามป่วย ห้ามตายด้วยนะคะ เพราะแม้ว่าจะต้องเดินทาง ต่อให้คุณป่วยแค่ไหน ถ้าไม่ป่วยจนใกล้ตาย หรือเป็นโรคที่สายการบินห้ามเดินทาง คุณก็ต้องไปให้ได้ค่ะ เพราะค่าตั๋ว ค่าโรงแรม ค่าจองบูธ จ่ายไปแล้ว

ลองนึกภาพตามนะคะ ชีวิตแบบนี้ไม่ได้สบายเลยนะคะ บางทีอึดอัด อยากร้องไห้ ก็ต้องทนเก็บไว้ เพราะเซลคือหน้าตาของบริษัท ทำได้แค่อดทน ยิ้ม และบริหาร EQ & IQ ตัวเองให้ถึงที่สุด

3. กินฟรี มีระดับ กับลูกค้า
หลายคนมองว่าเซลนี่ได้กินของดีๆ กินฟรีบ่อย เพราะต้องคอยพาลูกค้าไปเลี้ยง แต่รู้ไหมคะว่า ถ้าให้เลือกได้ เราขอ "ไม่ไป" จะดีกว่าค่ะ เพราะเวลาไปกับลูกค้า คุณรู้ไหมคะ เราแทบไม่ได้กินหรอกค่ะ เราต้องคอยชวนลูกค้าคุย เอาอกเอาใจ ตักอาหารให้ แถมต้องคุยเรื่องงานกับบนโต๊ะอาหารอีก อย่าเรียกว่ากินเลยค่ะ เรียกว่าเปลี่ยนมาทำงานกันที่ร้านอาหารจะดีกว่า เวลานั้น กับข้าวอะไร อร่อยยังไง บอกตามตรงไม่รู้รสแล้วค่ะ เครียดค่ะ ต้องวางท่า วางตัว ต้องคอยระวังคำพูด ต้องทำทุกอย่างในฐานะตัวแทนบริษัทเพื่อสร้างความประทับใจให้ลูกค้า เพื่อยอดขาย เพื่อเงินของบริษัท ของพี่น้องเพื่อนร่วมงานทุกคนค่ะ!!

4. เรื่องลา
อยากที่บอกไปตอนแรก ห้ามป่วย ห้ามตายค่ะ เพราะเซลคือตัวหาออร์เดอร์ของบริษัท ทุกๆวันเราต้องโดนกดดันเรื่องยอด วันนี้ขายได้เท่าไหร่ ถึงเป้าเดือนนี้หรือยัง ทำไมไม่ถึง คือผู้ใหญ่เค้ามองแต่ตัวเลข เพราะมันคือเงินที่ต้องใช้เลี้ยงบริษัท แต่ในขณะที่บางทีลูกค้าเราประสบภัยธรรมชาติ ค่าเงินอ่อน มีปัญหาในบริษัทเราอ้างอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ต้องทนรับแรงกดดันและทำให้ได้ เพื่อให้สิ้นเดือนบริษัทมีรายรับตามเป้าที่ตั้งไว้ใช้จ่าย

ตอนนั้นในแผนกเราเหลือเรา กับเซลซัพพอร์ตสองคน แม่เราโทรมาบอกอยู่ รพ ต้องแอดมิต เลือดออกในกระเพาะ เราไปขอลางาน เจ้านายบอกว่า ลาไม่ได้ ไม่มีคนคอยดูแลลูกค้า เราต้องอ้อนวอนว่าขอพาแม่ไปหาหมอก็ยังดี แล้วจะกลับมาในสามชั่วโมง เจ้านายถึงยอมให้ลา แต่ก็โทรมาตามตลอด เราทำได้แค่ส่งแม่ไป รพ และกลับมาทำงานต่อ ตอนนั้นเราทั้งจิตตกและเสียใจ จนอยากจะเลิกอาชีพนี้ไปเลยทีเดียว

ถ้าเป็นแผนกอื่นๆ เรื่องลาคงไม่ลำบากแบบนี้หรือเปล่าเราไม่แน่ใจ คิดว่าฝ่ายผลิตคงลำบากไม่แพ้กันแน่ๆ เนื่องจากขาดคนไม่ได้เหมือนกัน

5. เป็นคนกลางมันลำบากใจ
เราอยู่ตรงกลางระหว่างคนหลายกลุ่ม ทั้งลูกค้า เจ้านาย และแผนกต่างๆ เวลาลูกค้าด่ามา เช่นของเสียเยอะมาก ของไม่ได้สเปค ทำไมส่งของช้า เราก็ทำได้แค่ยิ้มรับ และแก้ปัญหาให้

พอเราต้องไปคุยกับแผนกอื่นๆ บางทีก็ต้องไปสู้กัน เถียงกัน หรือกราบกรานกันให้ช่วยทำให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ กลายเป็นว่าเซลต้องคอยง้อคนทั้งบริษัท ง้อลูกค้า และง้อเจ้านาย

บางทีของไม่ตรงสเป็ค บริษัททำออกมา ก็พยายามยัดเยียดให้เราขายให้ได้ เราไม่อยากทำก็ต้องกลั้นใจทำ ขายไปก็รู้ว่าลูกค้าต้องเคลมมา ต้องด่ามา แต่ก็ต้องทำ เพราะบริษัทจะเอายอดขาย จะเอาเงินมาหมุน สุดท้ายลูกค้าด่ามา เราต้องมาทนฟังลูกค้าบ่น พอเอาไปบอกฝ่ายอื่นๆ เค้าก็เครียด ก็มาบ่นกับเราอีกว่าลูกค้าเรื่องมาก เหมือนเป็นกระโถนท้องพระโรงนะคะ

นี่ยังแค่เรื่องจิ๊บๆ มีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะแยะ
ปล. ใครเป็นเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกับเรา มาเล่าสู่กันฟังบ้างก็ดีนะคะ
ปล. 2 ประสบการณ์ที่เล่ามา เราเล่ารวมมาจากหลายๆที่ทำงานะค่ะ

แก้ไขคำผิดและเพิ่มกระทู้ต้นเรื่องค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่