[CALL IT SPRING] บินไปดูพ็อดกดบานที่ปูซาน แต่ข้ามไปปั่นจักรยานที่ญี่ปุ่น

ไม่ดูซีรี่ส์
ไม่ฟัง K-Pop
ไม่ช้อปเครื่องสำอาง
แล้วเราไปทำอะไรที่เกาหลีใต้ถึง 3 รอบในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี?


จริงๆ แล้วทริปนี้เราไม่ได้เจาะจงว่าจะไปเกาหลี (คือไม่ได้มีความคิดอยู่ในหัวเลยว่าจะไปเกาหลีอีกภายในปีนี้เพราะเพิ่งกลับมาได้ไม่ถึง 2 เดือน) แต่เราเคยคิดเล่นๆ ว่าอยากไปดูซากุระแล้วก็อยากไปเที่ยวชนบทของญี่ปุ่น ที่เราเล็งไว้ก็คงจะเป็นเมืองเล็กๆ อย่างซากะ แต่อย่างที่หลายคนรู้กันก็คือ การไปเที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองต้องขยันหาข้อมูลกันเยอะหน่อย ไหนจะเรื่องการเดินทาง ไหนจะเรื่องค่าใช้จ่าย สุดท้ายแพลนจะไปดูซากุระที่ญี่ปุ่นก็เลยต้องพับเอาไว้ก่อน

จนวันหนึ่งเพื่อนเราที่อยู่ที่เกาหลีรับสมัครเพื่อนร่วมทางไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่งด้วยกัน ตอนแรกเราเข้าใจว่าเกาะนี้อยู่ที่เกาหลีใต้ เพราะเห็นว่านัดเจอกันที่ปูซานก็ได้ แต่พอเห็นรูปก็ต้องแปลกใจว่าทำไมบ้านเรือนและบรรยากาศถึงเหมือนญี่ปุ่นมาก จนเพื่อนเรามาเฉลยทีหลังว่าเกาะที่ว่านี้สังกัดเมืองนางาซากิของญี่ปุ่น แต่อยู่ใกล้กับเกาหลีใต้มากกว่า

เฮ้ย! ญี่ปุ่น  
เฮ้ย! บ้านนอกของญี่ปุ่น
เฮ้ย! ช่วงซากุระ

เฮ้ย! ไม่มีเงิน แต่อยากไปมากกกกก

หลังจากที่คิดอยู่ร้อยแปดตลบและถูกเพื่อนกดดันเบาๆ ด้วยการส่งรีวิวมาให้ดูมาเป็นระยะ เราก็ตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบิน แต่รอบนี้เรานอกใจ Thai AirAsia X มาใช้บริการ Korean Air แทน เพราะมีไฟลท์บินตรงจากกรุงเทพฯ ไปลงปูซานได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาย้อนไปย้อนมา ที่สำคัญพอรวมค่าโหลดกระเป๋า ค่าเลือกที่นั่ง และค่า KTX ไปกลับจากโซลแล้วราคาก็ไม่ต่างกันมาก

พอเราจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว เพื่อนเราก็รีบจองตั๋วเรือที่จะข้ามจากปูซานไปญี่ปุ่นทันที เพราะราคาตั๋วเรือจะคล้ายๆ กับสายการบิน Low Cost ที่ยิ่งจองล่วงหน้านานๆ ราคาจะยิ่งถูก แต่เราสองคนจองล่วงหน้าแค่เดือนเดียวก็เลยได้มาในราคาคนละ 88,000 วอน หรือประมาณ 2,600 บาท (ไป-กลับ) ซึ่งแพงมาก

ปกติเราจะคุ้นเคยกับสนามบินดอนเมืองมากกว่าสนามบินสุวรรณภูมิ เวลาห้าทุ่มกว่าถ้าเป็นที่ดอนเมืองก็คงเป็นการเช็คอินของไฟลท์สุดท้ายแล้ว แต่ที่สุวรรณภูมิยังดูคึกคักและวุ่นวายอยู่เลย ก่อนวันเดินทางเราทำเว็บเช็คอินไว้ล่วงหน้า สายการบิน Korean Air เปิดให้ทำเว็บเช็คอินได้ก่อนเวลาเดินทาง 48 ชั่วโมง ตอนโหลดกระเป๋าเราก็เลยไม่ต้องรอคิวนาน เพราะสามารถติดต่อที่เคาน์เตอร์ Web Check-in ได้เลย

คืนนั้นแถว Security Check ที่สนามบินสุวรรณภูมิยาวกว่าที่เราคิดไว้ เจ้าหน้าที่ต้องจำกัดจำนวนคนที่จะขึ้นไปด้านบนเป็นระยะ แถมตอนที่ผ่านตม. พาสปอร์ตเราก็ดันสแกนไม่ผ่านจนต้องไปยืนรอด้านหลังเคาน์เตอร์อีกเกือบ 10 นาที แต่ก็โชคดีที่เจ้าหน้าที่พยายามสแกนให้อยู่หลายรอบและผ่านได้ในที่สุด นึกว่าจะไม่ได้ออกนอกประเทศซะแล้ว


ก่อนหน้านี้เราเลือกบินกับสายการบิน Low Cost ซะส่วนใหญ่เพราะนอกจากเรื่องราคาแล้ว ยังสะดวกในการเดินทางมากกว่า นานๆ จะได้มาใช้บริการ Full Service ซักครั้ง สำหรับเราถ้าเทียบการเดินทางไฟลท์กลางคืนระหว่างที่นั่ง Quiet Zone ของ Thai AirAsia X กับชั้นประหยัดของ Korean Air เราชอบของแอร์เอเชียมากกว่า เพราะห้องโดยสารจะเงียบและมีการปรับแสงไม่ให้สว่างเกินไป ถ้าเราไม่ได้สั่งอาหารไว้ก็สามารถหลับยาวจนกว่าจะถึงปลายทางได้เลย (แต่เราขอเทียบกับที่นั่ง Quiet Zone เท่านั้น เพราะที่นั่งโซนปกติของ Korean Air ดีกว่าแน่นอน)

สายการบิน Korean Air จะเสิร์ฟอาหารเช้าก่อนถึงปลายทางประมาณ 2 ชั่วโมง เราเลือกเมนูอาหารทะเลไว้ตั้งแต่ตอนที่จองตั๋วก็เลยได้อาหารก่อนคนอื่นๆ สำหรับเรารสชาติถือว่าใช้ได้ อร่อยกว่าตอนที่นั่ง Druk Air ไปภูฏานร้อยเท่าพันเท่า (อันนี้ก็เว่อร์ไป) สิ่งที่ดีงามอีกอย่างหนึ่งของสายการบิน Korean Air ก็คือพนักงานบริการดีมาก

Good morning, BUSAN.

เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นภูเขาและที่ราบสูง เพราะฉะนั้นวิวที่เราจะได้เห็นก่อนเครื่องลงจอดก็คือภูเขาที่สลับซับซ้อนปกคลุมด้วยหมอกบางๆ เช้าวันนั้นอากาศที่สนามบินกิมแฮ (Gimhae International Airport) ประมาณ 15 องศา เย็นสบายกำลังดี ให้ความรู้สึกเหมือนไปเที่ยวเชียงใหม่ช่วงหน้าหนาว แถมตัวอาคารผู้โดยสารก็ยังขนาดพอๆ กันอีกด้วย

ขั้นตอนการผ่านตม. ที่สนามบินกิมแฮไม่มีอะไรยุ่งยาก ดูผ่อนคลายกว่าที่โซลเยอะ แต่จะวุ่นวายก็ตอนที่รับกระเป๋าเพราะทุกคนพร้อมใจกันไปยืนออจนเกือบติดสายพาน การเดินทางในปูซานเราสามารถใช้บัตร T-money ที่เป็นแบบ One Pass All Pass ที่ซื้อมาจากโซลได้เลย ส่วนเรื่องเติมเงินก็สามารถเติมได้ที่ร้าน 7-Eleven ในสนามบิน

จากสนามบินกิมแฮเรานั่ง Busan-Gimhae Light Rail ไปที่สถานี Sasang เพราะนัดเพื่อนไว้ที่นั่น สถานีของ Busan-Gimhae Light Rail จะอยู่นอกอาคารผู้โดยสาร พอออกจากตัวอาคารจะเห็นสถานีเล็กๆ อยู่ด้านขวามือ ตอนที่เราเห็น Busan-Gimhae Light Rail ครั้งแรกก็ได้แต่คิดในใจว่าช่างสมชื่อ ‘รถไฟรางเบา’ จริงๆ เพราะมีอยู่ทั้งหมด 2 ตู้ถ้วน อะไรจะน่ารักเบอร์นี้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่