$$... ราคาทอง ทำจุดต่ำสุดใหม่ในรอบเกือบๆ 6 ปี ...$$



เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาทองในตลาดโลก ทำจุดต่ำสุดใหม่ ในรอบ 5 ปี ปิดที่ 1,057.33 จุด

ปัจจัยกดดันราคาทองในระยะสั้นก็คือ

1. เริ่มเข้าใกล้การตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกของเฟดในรอบ 10 ปี ในวันที่ 15-16 ธ.ค. ที่จะถึง กดดันให้ค่าเงิน USD  ในที่สุดก็แข็งค่าขึ้นมายืนเหนือ 100 จุดอีกครั้ง นับตั้งแต่เดือน มี.ค. ปีนี้ (การแข็งค่าของค่าเงิน USD ไม่เป็นผลดีต่อราคาทอง เพราะสถิติในระยะยาว สินทรัพย์ 2 ประเภทนี้ มีความสัมพันธ์กันในเชิงผกผันในอดีตที่ผ่านมา)


2. บวกกับ จะมีการประชุม ECB (ธนาคารกลางยุโรป) ในสัปดาห์หน้า วันที่ 3 ธ.ค. ตอนนี้ ตลาดเริ่มเชื่อว่า ที่ประชุม จะมีออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยอาจเพิ่มวงเงินการอัดฉีดเงินเข้าระบบ (QE) อีกรอบ กดดันให้ค่าเงิน EUR อ่อนค่าลง ซึ่งย้อนไปกดดันให้ USD แข็งค่าอีกทาง และเป็นอีกตัวเร่งที่ทำให้ราคาทองถูกกดดัน


3. นักวิเคราะห์คาดการณ์กันว่า ความต้องการซื้อทองในอินเดีย ช่วงเดือนสุดท้ายของปีนี้ อาจจะมี Demand ต่ำสุดในรอบ 8 ปี สาเหตุจาก รายได้ของเกษตรกร และประชาชนในอินเดียส่วนใหญ่ลดลง จากวิกฤตราคาสินค้า Commodity ตกต่ำในช่วงปีที่ผ่านมา

4. ตัวเลขนำเข้า 'ทองคำ' จากจีน ในเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มลดลงจากเดือน ต.ค. (เดือน ต.ค. เป็นเดือนที่นำเข้ามากที่สุดในปีนี้ แต่รวมทั้งไตรมาสแล้วยังแพ้ไตรมาส 1) สาเหตุจาก การที่ค่าเงิน USD แข็งค่า ทำให้ราคาทอง แพงขึ้นโดยเปรียบเทียบ นักลงทุนจึงชะลอการลงทุนและสะสมทองไปก่อน


ในระยะยาว ก็ยังมีปัจจัยกดดันราคาทองเหมือนเดิมคือ

1. เนื่องจากเศรษฐกิจยุโรปยังเปราะบาง ขณะที่ญี่ปุ่นก็พยายามกระตุ้นเศรษฐกิจ และที่อื่นๆก็ดูเหมือนเศรษฐกิจยังไม่สามารถขยายตัวได้เต็มศักยภาพ ทำให้คาดการณ์เงินเฟ้อใน 1 ปีข้างหน้า ยังค่อนข้างชัดว่า เงินเฟ้อยังไม่มาเร็ว และอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งคุณสมบัติหนึ่งของทองก็คือ 'Hedge Against Inflation' จึงยังไม่ทำงาน (ทองวิ่งดี ช่วงเงินเฟ้อติดลบเยอะๆ ไม่ก็เกิด Hyper Inflation)


2. รายงานจาก World Gold Council เมื่อสิ้นไตรมาส 3 ยังแสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลางทั่วโลก ยังไม่ได้เร่งการสะสมทองเข้าคลัง ถึงแม้ราคามันจะต่ำกว่าช่วงที่ตั้งหน้าตั้งตาซื้อกันเมื่อปี 2013 อยู่ค่อนข้างมากก็ตาม (เหตุการณ์นี้ สอนให้รู้ว่า ธนาคารกลาง ก็ดอยเป็นเหมือนกันนะครับ)


3. เรื่องกลิ่นของสงคราม ที่มีอยู่ทั่วโลก ณ ตอนนี้ ก็ยังไม่ค่อยมีคนเชื่อว่าจะลุกลาม แต่ถึงตอนนี้ ตลาดหุ้น ตลาดทุน ก็ไม่ได้กังวลกับเหตุการณ์รอบโลกมากนัก ถ้ามาดูเหตุการณ์ในระยะสั้น เพื่อเป็นตัวอย่าง ก็จะพบว่ าเหตุการณ์มักจะคลี่คลายได้เร็ว อย่างกรณี ตุรกียิงเครื่องบินรบของรัสเซียตกในพรมแดนซีเรีย ล่าสุด รัฐบาลตุรกีบอกแล้วว่า จะพยายามเจรจากับรัฐบาลรัสเซียและพันธมิตรทุกประเทศ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด หลังจากทำให้รัสเซียไม่พอใจจนถึงขั้นระงับความสัมพันธ์ทางทหารและขู่จะคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจตุรกีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา


********************************************************



ผมมองราคาทองจะเป็นยังไงในอนาคต?

'ยังขึ้นแรงๆได้ยาก โอกาสรีบาวน์ก็ยังน้อย'

จากกราฟ Spot Gold ระยะยาว ยังอยู่ในกรอบ Sideway Down หรือเป็นแนวโน้มขาลง มีโอกาสลงมาทดสอบ $1,000 ได้ ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่น่าลงทุนมากๆนะครับ ถ้าเห็นตรงนั้นจริง


มาดูภาพระยะสั้นในกราฟรายวัน ก็จะเห็นบางจุดที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น ก็คือ ทุกครั้งที่ทองลงมาทำ New Low และมีรีบาวน์กลับ สามารถรีบาวน์กลับได้เกิน 10% ก่อนกลับมาเป็นขาลงในภาพใหญ่อีกครั้ง แต่ถ้าดูย้อนหลัง การรีบาวน์ 4 ครั้งล่าสุดหลังจากทำ New Low จะพบว่า อัตราการรีบาวน์ั้นลดลงทุกๆครั้ง จาก 21% ในปี 2013 เหลือ 17% ในปี 2014 และเหลือ 15% กับ 10% ในปี 2015


นั้นแปลว่า ระยะสั้น นักเก็งกำไร อาจใช้ ราคา $1,080 เป็นจุดกลับเข้าเก็งกำไรในทองได้ หากราคาสามารถยืนเหนือแนวต้านนี้ ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดเดิมของรอบก่อน แต่ถ้ายืนไม่ได้ ก็แปลว่า ทองน่าจะมุ่งน่าสู่ $1,000 ในปีหน้า

บทความจาก : http://www.iammrmessenger.com/?p=2041

----------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่