เมื่อเด็กจบใหม่โดนไล่ออกหลังจากทำงานได้30วัน

สวัสดีครับทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนว่ากระทู้นี้เป้นกระทู้แรกของผม  ดังนั้นหากการเขียนวกไปวนมาก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ผมอยากรู้ความคิดเห็นของทุกท่านต่อเหตุการณ์นี้ครับ แต่กรุณาอย่าใช้คำที่รุนแรงกำลังผมเลย เพราะตอนนี้ผมเสียกำลังใจไปมากจริงๆ

เอาเป็นว่าเข้าเรื่องเลยแล้วกัน

ตัวผมเองเป็นเด็กจบใหม่ครับ  จบเอกภาษาญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในประเทศไทยเมื่อเดือนพ.ค. ที่ผ่านมานี่เองครับ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาก่อนช่วงสอบไฟนอลผมจึงยื่นเรซูเม่สมัครงานไปยังที่ต่างๆ และติดต่อกับบริษัทจัดหางาน
และเนื่องจากในสมัยที่ผมเรียนผมได้มีโอกาสร่วมกิจกรรมต่างๆ ที่ใช้ภาษาญี่ปุ่นทั้งในและนอกมหาวิทยาลัย รวมทั้งมีประสบการณ์การฝึกงานและเซ็นต์ทำงานจริงๆ ในตำแหน่งล่ามกับบริษัทญี่ปุ่นในด้านการผลิตและการประสานงานภายใน จึงอาจทำให้บริษัทสนใจในตัวผมเป็นพิเศษ (เพราะผมคิดว่าส่วนใหญ่ทางบริษัทน่าจะต้องการคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาก่อน สักเล็กน้อยก็ยังดี ก็เลยไปเก็บประสบการ์ช่วงปิดเทอมมา) ผมจึงถูกเรียกไปสัมภาษณ์ในหลายๆ บริษัท และแล้วผมก็ได้ตัดสินใจเลือกบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งที่จ้างผมในตำแหน่งล่ามภาษาญี่ปุ่น+ซัพพอร์ทงานหัวหน้าชาวญี่ปุ่นฝ่ายการตลาด หลังจากนั้น......ชีวิตการเป็นมนุษย์เงินเดือนของผมก็ได้เริ่มต้นชึ้น

ปล.ตอนที่เขาสัมภาษณ์ผม เขาได้ถามผมว่าสามารถเริ่มงานได้เมื่อไหร่ ผมบอกว่าต้นเดือนหน้า(อีกสองอาทิตย์) แต่เขากลับบอกมาว่าเข้ามาในออฟฟิศอาทิตย์หน้าได้ไหม โดยมารู้ทีหลังว่าCEO ของเขาบินตรงมาจากจีน และต้องการล่ามให้CEO เป็นกรณีเร่งด่วน (เพราะมีพี่อีกคนหนึ่งเข้ามาสัมภาษณ์เหมือนกัน และพี่เขาก็ได้เข้ามาช่วยในคอาทิตย์ที่CEO มาตรวจบริษัท)


การเริ่มงานวันแรกชองผมผ่านไปด้วยดี ไม่มีงานอะไรมากนักเนื่องจากเพิ่งเข้ามาใหม่ แต่ได้รับคำสั่งให้ติดตามผู้บริหารไปแปลประชุมข้างนอก(โดยที่ผมไม่รู้เนื้องานหรือแม้แต่หัวข้อการประชุมในวันรุ่งขึ้นเลย)

จนมาถึงวันที่สองที่ผมต้องเข้าไปแปลประชุมที่มีองค์ประชุมทั้งหมด17คน โดยทางผู้บริหารก็ได้แนะนำกับอีกทางบริษัทหนึ่งที่เข้าร่วมประชุม(คนไทย)ว่าผมเป็นล่ามเข้ามาใหม่นะ ผมก็แนะนำตัวไปพร้อมกับบอกว่าเป็นเด็กจบใหม่ อาจจะยังไม่คล่องนะครับ ทางฝั่งนั้นเขาก็เข้าใจครับ พยายามพูดช้าๆ และเว้นให้ผมได้แปล ซึ่งในการประชุมในครั้งนี้บริษัทฝั่งตรงข้ามได้ใช้ภาษาอังกฤษในการนำเสนองาน(ผมเข้าใจภาษาอังกฤษนะครับ แต่ไม่เข้าใจศัพท์ย่อเฉพาะของการตลาด รวมไปถึงเนื้องานเพราะมันเป็นการติดตามผลของครั้งก่อน อารมณ์เหมือนการดูหนังที่ไม่ได้ดูตอนแรกแต่ข้ามมาดูกลางเรื่องเลย) ทางญี่ปุ่นของฝั่งบริษัทผมก็เริ่มตอบกลับโดยบอกกับทางฝั่งตรงข้ามว่า I'll use interpreter. พอเราได้ยินแบบนั้นก็เริ่มเตรียมตัวทำหน้าที่ของตัวเองครับ (คิดว่าเอาวะ...ลองดู) ปรากฎว่าจาก100%ผมประเมินให้ตัวเองว่าทำได้แค่30% เท่านั้น ได้แปลแค่0.5ของการประชุม สุดท้ายก็ต้องนั่งเงียบฟังการประชุม2ชั่วโมงครึ่งอย่างสงบและออกจากห้องประชุมด้วยอาการหน้าชาขั้นรุนแรง  หลังจากที่กลับออฟฟิศไปในตอนบ่ายผมก็ได้รับคำสั่งให้ติดตามผู้บริหารชาวญี่ปุ่นไปสำรวจตลาดที่ต่างจังหวัดในวันต่อไป(ซึ่งเป็นวันทำงานวันที่3) โดยที่ผมไม่รู้รายละเอียดอะไรอีกเช่นเคย

วันทำงานวันที่3ของผมก็ได้เริ่มขึ้นครับ โดยงานในวันนั้นคือการเยี่ยมร้านค้าต่างๆ ครับ วันนี้ผมสามารถแปลได้มากขึ้นเนื่องจากเป็นการพูดคุยธรรมดาทั่วไป แต่ก็ยังตายตอนคุยเรื่องการตลาดเช่นเคย และผมก็กลับมาด้วยสภาพหน้าชาอีกครั้ง

หลังจากนั้นผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ก็ถึงกำหนดการเริ่มงานของพี่อีกคนครับ พี่คนนี้จบจากมหาวิทยาลัยที่ญี่ปุ่น บวกกับประสบการณ์ในการทำงานและใช้ชีวิตที่ญี่ปุ่นนานกว่า10ปีจนได้รับวีซ่าถาวรเป็นที่เรียบร้อย ดังนั้นเป็นที่แน่นอนว่าทักษะภาษาและประสบการณ์ในการทำงานในญี่ปุ่นจึงเป๊ะ ดังนั้นจึงได้รับความเชื่อใจจากผู้บริหารและถูกเรียกใช้งานอยู่บ่อยๆ

ส่วนตัวผมเองแทบไม่ค่อยจะมีงานครับ ในอาทิตย์หนึ่งก็จะมีงานแปลเอกสารบ้าง2-3ชิ้น บางทีพี่ล่ามอีกคนก็วานให้ผมช่วยทำเอกสาร หลังจากนั้นวันเวลาก็ผ่านไปสองสัปดาห์ โดยที่ทุกวันผมก็จะนั่งว่าง คุยกับพี่ๆ แผนกที่ผมไปนั่งด้วย(ตอนนั้นที่นั่งไม่พอ ผมเลยได้นั่งกับแผนกอื่นโดยที่อยู่ห่างจากชาวญี่ปุ่นมาก) ส่วนพี่อีกคนได้นั่งติดกับหัวหน้าชาวญี่ปุ่นจึงโดนเรียกใช้มากกว่า

ในช่วงอาทิตย์ที่สองที่ผ่านไปผมมานั่งน้อยใจว่าทำไมผมไม่ถูกเรียกใช้งานเลย หรือแม้แต่คนสอนงานผมก็ไม่มี  ผมรู้สึกเกรงใจพี่ๆ ที่ร่วมงานทุกคนมาก ในขณะที่ทุกคนนั่งทำงานตัวผมเองได้แต่นั่งอยู่เฉยๆ จนพูดกับพี่ๆ ที่ทำงานว่าอยากเปลี่ยนงาน พี่ๆ เขาก็บอกว่าใจเย็นๆ รอดูไปก่อน (เพราะสิ้นเดือนนี้จะมีผู้บริหารจากบริษัทที่มาถือหุ้นรวมมาประจำที่ไทย ซึ่งผมคิดว่าอาจจะได้ซัพพอร์ท) ผมก็เลยคิดว่าจะรอเผื่อมีหวัง ก็อดทนรอต่อไป....

ในช่วงคาบเกี่ยวอาทิตย์ที่สองจนผ่านมาในอาทิตย์ที่สาม ผมก็ยังคงว่างเช่นเคย และบังเอิญมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอยู่ทั้งหมดสองเหตุการณ์ คือ

มีอยู่วันหนึ่งผมไม่สบาย เป็นทอลซิลอักเสบ ไม่มีเสียงและพูดไม่ได้ จึงไลน์หาพี่ที่ออฟฟิศว่าผมไม่สบายนะ ฝากลานายให้หน่อย พี่เขาก็บอกว่าจะให้พี่ล่ามอีกคนบอกนายให้ และผมก็ไลน์ไปหาพี่ล่ามอีกทีบอกว่าลาป่วยให้ผมหน่อย พี่แกก็แนะนำมาว่าต้องโทรบอกหัวหน้า ไม่มีเสียงก็พ่นลมให้เขาฟังเอา แต่วันนั้นผมไม่มีเสียงจริงๆ จึงไม่ได้โทรไป พี่ล่ามเขาก็มาเล่าให้ฟังว่าหัวหน้าถามหานะว่าหายไปไหน พี่เขาเองเลยช่วยแก้ต่างให้ว่าผมติดต่อพี่เขาขอลาป่วยแล้ว ซึ่งผมก็รู้ว่าการลาป่วยในช่วงทดลองงานเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่งเพราะมันมีผลต่อการประเมินการผ่านงาน วันต่อมาผมจึงตัดสินใจลุกไปทำงาน แต่ช่วงบ่ายมาผมก็มีไข้ขึ้นมาจึงขอลาครึ่งวัน วันต่อมาอาการผมเริ่มจะดีขึ้นแต่ผมอยากพักให้หายดีก่อนจึงขอลาป่วยเพิ่มอีกวัน โดยส่งข้อความไปที่โทรศัพท์ของหัวหน้างานผมโดยตรง ตามที่เขาได้บอกผม จนอาการผมดีขึ้น90% ผมก็กลับไปทำงานตามปกติ และโดนเรียกไปเตือนว่าที่ส่งข้อความมาลาก็ทำถูกละ แต่ว่าส่งข้อความมาเวลา 08.40 น. (ผมเริ่มงาน08.30) ถือมันสายกว่าเวลางาน ก็เข้าใจนะว่าไม่สบาย แต่ว่าส่งมาช้าแบบนี้บางทีอาจจะคิดได้ว่าตื่นสายหรือเปล่า? ผมก็รับฟังเขาแล้วก็ขอโทษกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

อีกวันหนึ่งหนึ่งที่ผมเข้าออฟฟิศสาย5นาที (ซึ่งอย่างที่ทุกท่านคงทราบว่าญี่ปุ่นนั้นเป็นชนชาติที่รักษาเวลายิ่งกว่าคำสาบาน) ซึ่งตรงนี้ผมก็ยอมรับผิดครับ และวันนั้นก็เป็นดีเดย์ที่หัวหน้างานผมกับผู้บริหารที่ใหญ่ที่สุดในออฟฟิศเรียกผมเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัว

หัวหน้า1 - นี่ก็ทำงานครบสามอาทิตย์แล้วนะ รู้สึกยังไงกับบริษัท การทำงานบ้าง
ผม - (คิดว่ามีโอกาสก็เลยพูด) ความรู้สึกจากใจจริงผมเลยนะ ผมไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานจริงๆ ก็เลยไม่รู้ว่าที่อื่นเป็นอย่างไร แต่สำหรับผมที่นี่ดีมาก แต่การทำงานที่นี่พนง.คนไทยสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษกับหัวหน้างานชาวญี่ปุ่นโดยตรง ผมก็คิดว่าบางทีล่ามก็ไม่จำเป็น (ก่อนหน้านี้ที่บริษัทไม่เคยจ้างล่ามมาก่อน ทุกคนสื่อสารกันโดยใช้ภาษาอังกฤษ) ถ้าไม่มีงานผมก็ไม่สามารถพัฒนาความสามารถของตัวเองได้
หัวหน้า2 - ขอโทษด้วยนะที่ทำให้ว่าง ถ้ามีโอกาสก็จะให้แปลนะ ในตอนที่ไม่มีงานก็อยากให้ทำรีพอร์ทเกี่ยวกับ..... เพราะว่าเรารับคุณเข้ามาเพราะว่าคุณเป็นวัยรุ่น เพราะฉะนั้นคุณน่าจะทำได้
ผม - ครับ
หัวหน้า1 - ว่าแต่....ทำไมวันนี้มาทำงานสาย
ผม - จริงๆ ผมก็ไม่มีเหตุผลหรอกครับ ผมก็ออกจากบ้านเวลาปกติของผม แต่ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมวันนี้ถึงมาสาย
หัวหน้า2 - มาทำงานยังไง นั่งรถไฟใต้ดินแล้วต่อมอเตอร์ไซด์ใช่ไหม?
ผม - ครับ
หัวหน้า1 - หรอ รถไฟใต้ดินใชเวลาขนาดนั้นเลยหรอ
ผม - ครับ(ตอบเบาๆ พร้อมพยักหน้า)
และแน่นอนครับ สิ่งที่ผมทำก็คือการขอโทษทางฝั่งผู้บริหารกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

หลังจากออกมาจากห้องที่คุยกัน ผมก็กลับมาทำรีพอร์ทเพื่อที่จะนำเสนออีกครั้ง โดยที่ค่อยๆ เริ่มจับแนวไปใช้เวลา2-3 วัน โดยที่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร และภายในอาทิตย์นั้นก็มีประชุมใหญ่ที่โรงงาน(โรงงานกับออฟฟิศอยู่คนละที่กัน) ผมก็ได้นั่งเฝ้าออฟฟิศกับพี่พนง.ใหม่อีก1 คนและพี่ที่อยู่เผื่อมีคนมาติดต่อธุระที่ออฟฟิศ1คน (ในใจผมคือน้อยใจมาก เพราะผมแทบไม่ได้รับงานใช้ภาษาหรืองานใดๆ เลย) ผมก็รอเวลาที่จะได้พรีเซนต์รีพอร์ทตัวแรก จนที่ล่ามอีกคนเกริ่นไว้ให้ แต่หัวหน้างานผมบอกว่ารอหัวหน้าใหญ่ฟังด้วยกันวันรุ่งขึ้น ผมก็โอเค ในใจแอบรู้สึกดีใจด้วยที่ผู้บริหารใหญ่จะเข้าฟัง แต่วันถัดมาปรากฎว่าทั้งสองคนมีงานยุ่งทั้งวันจนลืมนัดฟังพรีเซนต์งานของผม แต่ผมก็เข้าใจว่าเขายุ่ง จนตอนเลิกงานแล้วผมจะออกจากออฟฟิศ เขาก็ขอโทษผมแล้วเลื่อนเป็นวันพรุ่งนี้นะ

จนวันนี้ก็มาถึง ช่วงเช้าหัวหน้างานผมเรียกเข้าไปพรีเซนต์ เขาก็ฟังผมจนจบ เขาก็บอกว่าเรื่องที่ผมพรีเซนต์อยู่ก็ดีแต่เขาไม่ได้สั่งงานนี้(ทั้งที่งานอยู่ในขอบเขตเดียวกัน) ให้ทำแบบนี้ๆ นะ ผมก็เงียบรับฟังแล้วก็กลับมาทำงานใหม่จนถึงเลิกงาน(ทำจนเสร็จ กะว่าจะส่งพรุ่งนี้) จนถึงตอนเลิกงาน ผมกำลังเก็บของเตรียมตัวกลับ หัวหน้างานผมก็เรียกไปพบที่ห้อง แล้วเขาก็บอกผมว่าเสียใจด้วยนะคุณไม่ผ่านการทดลองงาน(ผมทำงานได้30วันพอดีเป๊ะ) ตอนที่คุณไปสำรวจตลาดกับเรา คุณไม่มีศักยภาพพอที่จะทำงานล่าม ทางเราจะจ่ายเงินเดือนให้คุณเต็มเดือนนะ แต่ว่าทำงานถึงวันนี้ ผมอึ้งบวกงงมากเลยครับ แล้วเขาก็ยื่นหนังสือไม่ผ่านการทดลองงานให้ผมเซ็นต์ครับ ผมนั่งฟังเขาพูดแล้วก็เซ็นต์ครับ ก่อนออกจากห้องเขาบอกผมว่าเดี๋ยวพอคุณออกไปแล้วก็ให้เงียบๆ เก็บของของคุณนะ ผมก็รับทราบครับ เดินออกไปเก็บของเงียบๆ แล้วก็เก็บของโดยที่(อดีต)หัวหน้างานของผมมายืนประกบข้างหลัง พอทุกคนในออฟฟิศเห็นผมเก็บของทุกคนก็เงียบเหมือนกับรู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น พอเก็บของเสร็จผมก็พูดขึ้นมากลางออฟฟิศว่า "ผมไปแล้วนะครับพี่ ขอบคุณมากนะครับ" แล้วผมก็เดินออกมาจากออฟฟิศจนถึงประตูทางออก ผมหัวมาขอโทษ(อดีต)หัวหน้างานของผมว่า"ขอโทษนะครับที่ความสามารถผมไม่พอ" เขาก็ขอบคุณแล้วก็บอกว่าไม่เป็นไร ท้ายที่สุดผมก็เดินออกจากออฟฟิศและสิ้นสุดการทำงานของบริษัทนี้.....


ขอบคุณที่อดทนอ่านจนจบนะครับ  ผมเพียงแค่มีคำถามขึ้นมาในใจว่าวุฒิภาวะในการทำงานหรือว่าผมมีจุดแย่ตรงไหนที่มันรุนแรงขนาดนั้นหรือเปล่า ที่มันแย่จนถึงขนาดที่ทำให้หัวหน้างานไล่ออกทันทีเลยหรอครับ

หากผมเขียนตอนใดไม่ชัดเจนถามได้นะครับ ผมยินดีที่จะอธิบายเพื่อหาคำตอบของคำถามในใจผมจริงๆ

ขอบคุณครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่