จาก300,000 เป็น300,000,000 ใน10ปี แล้วเกษียณครับ

วันก่อนได้อ่านกระทู้ของพี่เทียนย้อยแล้วมีแรงบันดาลใจอยากเขียนขึ้นมา อยากลองแชร์ประสบการณ์ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ประกอบการณ์ท่านอื่นๆครับ
ปัจจุบันผมอายุ30ครับ เพิ่งเกษียณไปเมื่อกลางปีที่ผ่านมา ช่วงนี้เอาเวลามาสอนคนรอบๆข้าง และทำโรงเรียนการกุศลครับ และทำconsultให้กับองค์กรหนึ่ง เป็นpart time ผมคิดเสมอว่าคนเรามีเงินตั้งต้นไม่เท่ากัน แต่มีเวลาศึกษาหาความรู้เตรียมความพร้อมเท่าๆกันคือ1ชีวิต

1.สะสม
ชีวิตการทำงานผมเริ่มสมัยเรียนอยู่ปี3 ปี2003 สาขาวิศวกรรมโยธา ไปฝึกงานที่ บริษัทแถวสยาม เป็น บริษัท construction contractor ครับ ฝึกอยู่4เดือน เป็นงานวางแผนและควบคุมงาน  construction management ได้ทำรายการคำนวณโครงสร้าง มาที่นี่เหมือนอ่านหนังสืออีกรอบทั้งหมดที่เรียนในมหาลัย  เนื้องานตากแดดทั้งวันครับ จากขาวๆดำเลย ได้วันละ170 ค่าแรงขั้นต่ำพอดีสมัยนั้น
ปีถัดมาติดใจอยากทำงานอีก อยู่ปี4 ไปสมัคร บ consultแถวนานา ทำแค่วันอังคาร พฤหัส และเสาร์ บริษัทนี้ทำfeasibility studyของโรงแรมที่กำลังจะสร้างที่สุราษ แต่headquarterอยู่กทม ได้วันละ220 เป็นงานเบ้ครับ งานตั้งแต่ชงกาแฟ จัดห้อง วิ่งหาข้อมูลจากสถานที่ราชการต่างๆ (จำได้ว่ากรมอุตุต้อนรับดีมาก ให้ข้อมูลดีมาก) ได้เคาะแบบทำห้องประชุมใหม่ของบริษัทนี้ด้วย ชีวิตรับเหมาก่อสร้างของผมเลยบังเอิญเริ่มที่นี่ เพราะเคาะBOQแล้วใช้งานจริงเป็นครั้งแรก
ปี2005 เรียนมหาลัยปีที่5 เป็นเด็กเป้อ เพราะปี1เกเรไปหน่อย แต่ปีนี้มีเรียนแค่3ตัว เลยไปขอทำงานกับพี่ที่ฝึกงานสมัยปี3แถวสยาม project manager พี่ปัญญาท่านไม่รับเพราะนโยบายบริษัทไม่รับเด็กฝึกงานปีนี้ ผมตื้อแกอยู่นาน แกคงเห็นว่าตอนฝึกงานตั้งใจ เลยรับมาโดยเอาเงินส่วนตัวแกจ่ายเองเลยวันละ170เท่าเดิม จากนั้นแกก็สอนเอง สอนงานบริหารโครงสร้างให้ผมใหม่หมด  ผมสำนึกบุญคุณแกจนถึงทุกวันนี้
ปีถัดมาจบแล้วทำไรดี พ่อไม่ให้ตังแล้ว แกยังให้อยู่บ้านใช้น้ำไฟก็บุญละ(เถียงแกบ่อยเกิน) เรียนโยธาจบแล้ว ทำโครงสร้างมาแล้ว งานtectแล้ว อยากได้ความรู้interior จะได้ครบๆ ไปสมัครทำบริษัท interior design มีความสุขที่ได้ความรู้เยอะดี เจ้านายดี ได้เงินเดือน10000เดียวมีน้อยใช้น้อยครับ ไม่เที่ยว ไม่ซื้อเสื้อผ้า ไม่กินแพง ยังไงก็พอ สมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวพิเศษชามละ20 ยังเหลือเงินเก็บ เสียฟอร์มนิดหน่อยเพราะเพื่อนๆที่เพิ่งจบพร้อมกันได้start14000
อยู่ที่นี่ได้ความรู้เพิ่มเรื่องงานไม้ รู้แหล่งที่มาแหล่งซื้อขาย เพราะได้ไปเองต่อรองเอง เลยได้skill จัดซื้อไปด้วย ได้ทำอินทีเรียในห้างที่ยังไม่เปิด ได้นอนบนพื้นห้างตอนตี3เกือบทุกวัน ก้อแปลกๆดี เจ้านายที่นี่เก่งเรื่องบริการคนมาก ลูกน้องกว่าร้อยพลีชีพทำงานให้แกทุกคน เจ้านายคนนี้เป็นต้นแบบที่ดีมากๆ ดูแลลูกน้อง มีศิลปะการใช้พระเดชพระคุณได้สมดุลมาก
2. หักมุม
ออกจากงานครับ เจ้านายแกลดคน ว่างๆก็แวะกลับไปเยี่ยมเยียนอาจารย์ที่มหาลัยครับไปนั่งคุยเล่น วันหนึ่งผมไปเดินเตะฝุ่นแถวสยาม เห็นร้านขนมปังเจ้าใหญ่ๆที่ครองสยามมาเป็น10ปีหลายร้านกำลังจะเจ๊ง เข้าไปซื้อขนมปังมาร้านละอัน รสชาติโหลยโท่ยมาก เมื่อก่อนมันอร่อยมาก เลยคิดว่าเปิดร้านขนมปังดีกว่า เอาเงินเก็บไปเรียนทำขนมปังที่ufmครับ เรียนเสร็จอยากเปิดร้าน มีงบอยู่150000 ไปเดินรอบๆสีลมกับสาทรครับเดินทุกซอย  7วันเดินทั้งวัน เหนื่อยก็พัก ได้ดูทำเล ได้คุยกับรปภ แม่บ้าน เจ้าของร้านที่เปิดร้าน วนเข้าไปในละลายทรัพย์เจอร้านว่าง ดีใจมาก กับ อีกที่คือใต้ตึกสาทรซิตี้ เมื่อก่อนมันมีโรงอาหารอยู่ใต้ตึก %^&*(*()*()*) เคาะต้นทุน ค่าขนส่ง ค่าเช่าร้าน ลูกน้อง1คน โต๊ะเก้าอี้ สีในร้านทาเอง ออกแบบโลโก้กับเพื่อน พิมถุง ต้นทุนขนมปังต่อหน่วย พร้อมแล้วก็ลุยครับ สรุปเปิดที่สาทรซิตี้ หาลูกน้องก็ไปเดินจีบจากแมคโดนัลตึกสแตนชาต
ตื่นตี5ทุกวันครับ ปิดร้านบ่าย2 ตอนเย็นโรงอาหารที่นี่ไม่มีคนครับ ทำขนม ส่งของ เปิดร้าน อบขนม ขายขนมได้ประมาณวันละ200หน่วย ได้กำไรเดือนละ15000 อยากขยายสาขาจริงๆ  

3. โอกาส
มีคนติดต่อมาว่า “อยากให้ไปคุมงานให้ ผู้รับเหมาสมัยนี้นี่มันชอบทิ้งงานจริงๆ ได้เงินแล้วหายไปเลย” ผมลังเลอยู่พักหนึ่ง จังหวะที่จะได้ใช้ความรู้มาแล้ว เลือกกลับมาทำงานให้ตรงสายครับ ปิดร้านขายขนมปังแบบเสียดายๆ ตัดสินใจรับงานควบคุมงาน เพื่อได้ใช้ความรู้เต็มที่อีกครั้ง หลังจากจบงานนั้น งานต่อเติมมาเรื่อยๆครับทั้งควบคุมงานและรับเหมาเล็กๆ ทีมงานอาศัยรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยแนะนำมา นอกจากนี้ยังได้ความรู้ใหม่อีกข้อครับ คือเรื่องสัญญาจ้าง หาหนังสือเกี่ยวกับกฎหมายและตัวอย่างสัญญามาอ่าน และปรับงวดงานให้ตรงกับcash flow ครับ ขนาดของงานงานละไม่เกิน 500000 ใช้เงินหมุนไม่เกิน200,000 กำไรงานรับเหมายิ่งเล็กยิ่งกำไรดีครับ เพราะ อุปสงค์สูง อุปทานต่ำ ครับ งานยิ่งใหญ่กำไรเหลือ5-10เปอเซ็น เพราะมีการสอบราคามีคอนเซ้า

4. Jackpot
ทำงานรับเหมาอยู่หลายงานได้ปีกว่าๆ ได้งานตึกที่กำลังจะถล่ม คือเก่ามาก เสาแตกหมดแล้ว เห็นเหล็กเส้นโผล่ออกมา แต่เจ้าของไม่ยอมรื้อแล้วสร้างใหม่ เพราะกฎหมายระยะร่นใหม่ หากปรับปรุงอย่างเดียวไม่ต้องเว้นระยะร่น เจ้าของงานให้งบมาสูงมากๆแต่โดนผู้รับเหมาทิ้งงานมา3เจ้าแล้ว พอเข้าไปดูหน้างานถึงบางอ้อ ว่าเป็นงานยากจริงๆ เราเลยกลับไปปรึกษาอาจารย์ที่สนิทสมัยมหาลัย แกใจดีมากมาช่วยดูหน้างาน และสอนเพิ่มให้ด้วย งานนี้เป็นพอร์ตที่ทำให้ผมได้งานต่อๆมาอีกหลายงาน ปัจจุบันแกเกษียรแล้ว ผมชอบซื้อผลไม้ไปฝากแก และนั่งคุยเล่นกับแกนานๆทุกครั้ง
หลังจากนั้นเป็นยุคเรเนซองของบริษัท คือได้งานก่อสร้างขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เหมือนผู้ประกอบการคนอื่นๆ ทำงาน7วันวันละ12ชั่วโมง เหนื่อยแต่หยุดไม่ได้ ทีมงานใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ(ช่วงพีคอยู่ที่ประมาณ120คน) ได้เรียนรู้และแก้ไขไปเรื่อยๆ ติดตรงไหนถ้าไม่ค้นหนังสืออ่านก็กลับไปถามอาจารย์ที่มหาลัย แต่ยังหาเรื่องให้เหนื่อยขึ้นด้วยการไปลงเรียนโท เพราะรู้สึกว่าหากจะทำให้บริษัทเติบโตกว่านี้ต้องมองโลกในมุมที่กว้างกว่านี้มากๆ ไปเรียนปริญญาโทเศรษฐศาสตร์ภาคค่ำ นั่นหมายถึงกลางวันทำงาน7วันกลางคืนเรียน จ-ศ ถึง3ทุ่ม กลับบ้านนอน5ทุ่ม บางวันไปตีไพ่กะเพื่อนต่อต้องอดนอนแล้วไปทำงานเลย ไม่ได้หยุดแม้แต่วันปีใหม่ ทำแบบนี้อยู่หลายปีจนเริ่มอยากลดงาน แต่มันหยุดไม่ได้จริงๆ เป้าเริ่มเปลี่ยนที่ตรงนี้
ในช่วงนี้ถ้าว่างเมื่อไหร่ เช่นรอประชุมกับลูกค้า แบ่งงานให้ลูกน้องเสร็จ ผมจะหยิบหนังสือด้านการเงินและหางบการเงินมาอ่านเล่น แรกๆก็อ่านไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ ก็เอาไปถามอาจารย์บ้าง เพื่อนสมัยมหาลัยที่ทำงานสายการเงินบ้าง ผมไม่รู้หรอกว่าจะเอาความรู้ด้านนี้ไปใช้ตอนไหนเพียงแค่อยากศึกษาให้มาก เตรียมตัวให้พร้อมเสมอ เพราะโอกาสจะมาเมื่อไหร่ไม่รู้
สาเหตุที่ได้งานเยอะในช่วงนี้มีข้อคิดหลายๆข้อคือ 1.ไม่ว่าลูกค้าจะส้วมตัน หลังคารั่ว เรารีบไปซ่อมให้ทันที แม้ว่าจะส่งงานไปแล้วนานแค่ไหนก็ตาม เพื่อให้เกิดการเปรียบเทียบและบอกต่อๆ ซึ่งเป็นจุดที่ตรงกันข้ามกับผู้รับเหมาทั่วไป  2.พยายามคิดว่าเรามีประสบการณ์ และความรู้ที่ได้เปรียบคนอื่นๆอย่างไรบ้าง เช่น สำหรับงานรื้อถอนอาคารไฟไหม้ที่ไม่ใหญ่มาก ผู้รับเหมารายเล็กๆไม่สามารถอธิบายเหตุผลและวิธีการซ่อมได้ (ส่วนมากผรมรายเล็กมักทำงานจากการจดจำและการบอกต่อๆมาจากคนรุ่นก่อน เพราะอาจไม่มีโอกาสเรียนและไม่ได้ที่ปรึกษาที่ดี)  ส่วนเจ้าใหญ่ก็ตีราคาที่แพงเพราะต้นทุนโสหุ้ยที่สูง เราอาจจะหาช่องโหว่ตรงนี้ในการทำกำไรได้

5. Overheated
ถึงตอนนี้อายุ26 ออกมาอยู่เองข้างนอกเพื่อให้ใกล้หน้างาน ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมัน เพราะทำงานไม่ทัน เงินเก็บเยอะประมาณหนึ่งแต่ไม่ได้ใช้ เลยตัดสินใจซื้อรถในฝันของพ่อไปเซอร์ไพรซ์วันพ่อ พ่อก็รับไปแบบงงๆ แต่คงดีใจหละเพราะแกเห็นอาแปะวิวัฒน์เพื่อนแกขับรุ่นนี้โฉบไปมาอยู่หลายที
สงสัยผมจะทำงานหนักไปรู้สึกว่าเงินไม่ใช่คำตอบ ชีวิตไม่ค่อยสมดุลไม่คุ้มเลย อยากเกเรหนีไปเล่นดนตรีเหมือนตอน ปี1 แต่อีกใจก็อยากได้ความรู้ด้านบัญชีและการเงินเพิ่ม เลยตีตั๋วไปอังกฤษเพื่อเรียนโทการเงินแบบไม่บอกใคร เพราะรู้ว่าถ้าบอกแม่ต้องโดนห้ามแน่ๆ กับการที่ปิดบริษัทที่ทำเงิน7-8หลักทิ้งนี่มันบ้าแน่ๆ
ก่อนไปอังกฤษต้องเตรียมหลายด้าน ด้านลูกน้องหางานฝากให้กับเค้าทุกคนและแจกทองลูกน้องทุกคน(ลูกน้องบอกว่ารู้งี้ให้เฮียรีบๆไปแต่แรก55) บางคนได้โบนัสก็กลับบ้านเลี้ยงไก่ ด้านแม่ แม่รู้อีกทีอยู่อังกฤษแล้ว แม่ก็คงงงๆ โทรไปหาตอนถึงอังกฤษแม่ยังงงอยู่ แกงงตั้งแต่เรียกไปถ่ายรูปรับปริญญาโทใบแรกละแกงงว่าไปเรียนมาตอนไหน555  ด้านตัวเอง ตั้งงบสำหรับใช้จ่ายทั้งการกิน นอนเที่ยว ซื้อรถด้วย เอาแบบสบายหน่อย ที่เหลือเปลี่ยนสภาพเงินสดให้เป็นที่ดิน และหุ้น ผลตอบแทนเอาให้สูงกว่าเงินเฟ้อก็พอ ผมมักจะคิดเงินเฟ้อเฉลี่ยที่6% เอาให้แย่ไว้ก่อน ซื้อที่ดินที่yield มากกว่า4% แล้วบวกกับ land appreciation เกิน6ละผมสบายใจ ส่วนหุ้นหลังจากเรียนเศรษฐศาสตร์ได้อาจารย์สอนอ่านงบคร่าวๆ ตอนนั้นผมนั่งอ่านงบ100กว่าตัว คัดมา6ตัว ขาดทุนบ้างกำไรบ้างที่ภูมิใจที่สุดคือCPF
ช่วงเวลาที่อังกฤษ เป็นช่วงที่คุ้มค่าและมีความสุขที่สุดในชีวิตช่วงนึงก็ว่าได้ ได้ออกกำลังกาย เล่นดนตรี ได้พักผ่อน ได้อ่านหนังสือดีๆ ห้องสมุดที่นั่นคนแน่นหยั่งกะผับ(ผับก็แน่นมาก) คือต้องไปแต่เช้าเพื่อจองที่ ได้เห็นมุมมองของฝรั่งในการจัดอาคารสถานที่ รูปแบบอาคาร ที่ได้แน่ๆคืองานสถาปัตยกรรมแล้วก็คิดว่าตึกแบบindustrial loft ต้องมาแน่ๆ
เรียนการเงินทำให้เราเข้าใจสินค้าด้านการเงิน(ที่แบงก์และบริษัทประกันชอบเอามาขาย) การออม และการลงทุน เอามาประกอบกับCashflowงานสร้างอาคารที่เราทำ อย่างน้อยๆทำให้รู้ว่าเช่าคอนโดคุ้มกว่าผ่อนคอนโด555 ไม่เชื่อลองเคาะดู ตอนนี้ผมก็เช่าอยู่

แก้ไขเวลา 20.43 27/10/2014
ขอบคุณพี่โอค กะพี่บิคมากที่เคลียร์กับพี่ๆนักสืบให้ ผมมาช้าไปหน่อยขอโทษครับ
ตอบข้อสงสัยพี่ๆนักสืบครับ:
เมื่อเดือน6 สองปีที่แล้ว Bangkokpost เอาเรื่องของผมไปลงครับ ผู้เขียนชื่อ Kanana Katharangsiporn และ Jon Fernquest
ผมไม่แปะโพสเพราะต้องการความเป็นส่วนตัวครับ ใครอยากรู้รบกวนหาอ่านต่อเองนะครับ
ในเวปhttp://www.bangkokpost.comยังหาอ่านได้ครับ ขอความกรุณาอย่าแปะลิ้งค์ต่อนะครับ ชอบอยู่ในถ้ำครับ
ถ้าได้อ่านแล้วพี่ๆพอจะปรับแก้ความคิดเห็นจะเป็นพระคุณยิ่ง
แก้ไขข้อความเมื่อ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
6. Comeback
ทีแรกกะอยู่อังกฤษยาวๆ บังเอิญพ่อสร้างบ้านใหม่ที่นครปฐมไม่เสร็จเพราะโดนผู้รับเหมาโกง เราเลยจำเป็นต้องกลับมาช่วยคุมงาน กลับมาปั้บลูกค้าเก่าเรียกทันที เลยเรียกรวมพลลูกน้องเก่าทุกคน ได้มาครึ่งเดียวจากร้อย ที่เหลือเปลี่ยนเบอร์หมดแล้ว   - -
ผ่านไป6เดือน เจ้าของที่ดินคือป้าและพ่อผม เขามีที่ดินเก่าอยากขายตรวละ19000 แถวเพชรเกษม ตั้งขายมา5ปีไม่มีคนซื้อ ด้วยความสด ผมบอกเค้าว่าผมจะขายให้ที่ตรวละ33000 เขาบอกว่าถ้าเก่งก็มาลงทุน ผมบอกโอเค ผมให้ทีมงานชุดเดิมสร้างหมู่บ้านไป60ยูนิตสร้างแบบบ้านเดี่ยว industrial loft ที่แรกในไทย เคาะcash flowสูตรเดิม ขายเกลี้ยงใน2ปี จบงานแบ่งกำไรกัน งานนี้ทำเพราะอยากวัดพลังตัวเองล้วนๆ ได้กำไรเป็นของแถม
หลังจากซื้อที่ดินทิ้งไว้ก่อนไปอังกฤษหลายๆแปลง มูลค่าเพิ่มขึ้นไปมาก บวกกำไรจากการรับเหมาลูกค้ารอบหลัง สร้างเป็นโรงแรมเล็กๆหนึ่งหลังโซนสุขุมวิท หาผู้บริหารเป็นคนฝรั่งเศสมาบริหาร เงินที่เหลือหมุนซื้อขายที่ดินหลายแปลง โชคดีได้พบเจ้าของที่ดินท่านหนึ่งอายุ80แล้ว แกสอนผมเรื่องที่ดินเพิ่มอีกหลายข้อ เรื่องการมองทำเล การสร้างทำเล และการเพิ่มมูลค่าให้ที่ดิน ปัจจุบันผมนับถือแกเป็นอาจารย์ ผมไปเยี่ยมแกบ่อยๆ แกคุยสนุกครับ
กลับมารอบนี้ที่ได้งานเพิ่มคงเป็นเพราะชื่อเสียงที่ดีที่สะสมมา ลูกน้องเต็มใจที่จะกลับมาช่วยเราผมก็ดีใจ การบริการจัดการทรัพย์สินที่ดีก่อนช่วงไปอังกฤษแลต่อยอดด้วยการพัฒนาเพิ่มเติมหลังกลับมาทำให้มูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นมาก  
ถึงตรงนี้เริ่มรู้สึกว่าไม่รู้จะหาเงินไปทำไม ชีวิตเราไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ปัจจุบันผมอยู่ห้องเช่า60ตารางเมตรสะอาดๆก็อยู่ได้ ยิ่งกว้างไปต้องทำความสะอาดเยอะอีก รถก็กะบะคันเก่าใช้มา7ปียังวิ่งได้ไม่เห็นต้องซื้อใหม่ บุบนิดหน่อยก็ไม่เป็นไรไม่ต้องซ่อม กินได้แค่วันละ3มื้อ มากกว่านี้ก็อ้วน
วางแผนส่งมอบกิจการเป็นมรดกแก่ลูกน้องที่ช่วยเราตลอดมา ด้วยการจัดstock option ให้ลูกน้องได้เป็นเจ้าของกิจการต่อไป เราก็แค่ถือหุ้นครับ
หมายเหตุ จุดนี้ผมขวางโลกอยู่เรื่องนึงคือเรื่องมรดก การที่เราให้ทรัพย์สินใดๆแก่ใครที่คุณสเน่หาซึ่งคนส่วนมากให้ลูกนั้นไม่แปลก แต่successorของตัวบริษัทไม่ควรให้ลูก ควรให้ลูกน้องครับ เพราะลูกไม่เคยทำมาก่อน ให้มันนำองค์กรต่อเจ๊งแน่ 1.ลูกไม่มีทางถนัด และเก่งในด้านเดียวกับพ่อ 2.ลูกไม่มีทางเก่งกว่าลูกน้องพ่อที่ช่วยงานมาเป็นสิบปี ถึงตอนนี้ผมเห็นปัญหาของกิจการอื่นๆมาก เพราะเป็นที่ปรึกษาด้านธรรมนูญครอบครัวอยู่ด้วย ผมตั้งข้อสังเกตุว่าธุรกิจครอบครัวมักไม่เกินรุ่นสามเพราะสาเหตุช่วงส่งมอบ
ผมหันไปมองเด็กๆในไซท์งาน วิ่งเตะทรายเตะตะปู ถามพ่อแม่ซึ่งคือลูกน้องของผมว่าทำไมไม่ให้ไปเรียน เรียนก็ฟรี เขาบอกผมว่า ไม่รู้ต้องทำยังไงบ้างให้ลูกได้เรียน And this is the efficiency of Thai government!!!! นี่แค่เด็กไทย เด็กพม่าเขมรลาว ไม่ได้เรียนแน่ๆ โตไปไม่มีอนาคตคงต้องไปปล้นจี้ แหงๆ ผมเลยทำห้องเรียน จ้างคุณครูที่เกษียรมาสอนภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เด็กๆ วันเสาร์อาทิตย์ จะมีคุณครูจากอักษรจุฬา มาติวภาษาอังกฤษ นอกจากเนื้อหาที่เด็กจะได้เด็กพวกนี้จะได้รู้ว่าการเรียนทำให้ตนเองมีคุณค่า บางคนอาจจะคิดว่ารวยแล้วก็เอาเงินไปซื้อรถแพงๆ บ้านแพงๆให้ลูกตัวเอง ทำไมต้องให้เด็กคนอื่นๆที่ไม่ใช้ลูก เด็กที่เป็นเหล่านี้จะกลับมาทำร้ายคุณครับหรือลูกคุณหรือน้องคุณ หรือเพื่อนคุณ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมก็ตามเชื่อผมเถอะ

สูตร
1.เคล็ดลับของผมเหมือนหลายๆคนคืออ่านหนังสือทุกคืนก่อนนอนครับ คนเราหยุดเรียนรู้ไม่ได้เพราะเราจะโง่ลง
2.รายจ่ายที่ไม่จำเป็นไม่ต้องสร้างเพิ่ม ไม่ต้องสร้างหนี้อย่าเห่อตามคนอื่น
3.การมองที่ดินของผม ทำเลหมายถึง จำนวนคนผ่าน ทางเข้าออก และสภาพแวดล้อม การจะได้ที่ดินสวยราคาถูก ต้องมีตำหนิซัก1ข้อ
4.การซื้อรถให้ตัวเองหลายคันผมยิ้มคนเดียว ไม่ได้ความสุขเท่ากับซื้อให้พ่อคันเดียว พ่อยิ้ม แม่ยิ้ม น้องๆยิ้ม และผมยิ้ม
5.ความรู้เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าเงินทอง เพราะมันหาเงินทองได้ และสอนให้คนอื่นหาเงินทองได้ด้วย
6.ผูกมิตรกับทุกคนครับ เราช่วยเขา เขาช่วยเรา ช่วยกันไปมา ดีทุกฝ่าย
7.อย่าลืมบุญคุณคน โดยเฉพาะอาจารย์
8.คนที่ไม่มีความรู้ ได้เงินมาโดยไม่มีเหงื่อ ไม่เหนื่อย ไม่มี (ขนาดมิจฉาชีพยังต้องมีความรู้ และอย่าหลงเชื่อพวกที่บอกว่าหาเงินมาง่ายๆ)
ผมเคยอ่านหนังสือชื่อThe edge โดย Allen Adamson แกเขียนว่า What may appear to be overnight success doesn’t really happen overnight
ความคิดเห็นที่ 11
เราก็อยากแชร์เราจบมาเงินเดือนเก้าพันเริ่มเอาเงินพ่อแม่มาเล่นหุ้นจากสามแสนกลายเป็นห้าล้าน  เลยเอาเงินมาเปิดร้านอาหารขายดีมากตอนหลังมีคนติดต่อให้ทำ catering จากลูกจ้างสองคนกลายเป็น 20 คน  รายได้ก็เอาไปเติมในหุ้นจนพอร์ตเป็นร้อยล้าน ประกอบกับลงทุนอสังหาซื้อที่ไว้เจ้าของร้อนเงินเลยได้ถูก ตอนหลังมีบริษัทขอซื้อทำคอนโดได้กำไรมาร้อยกว่าล้าน  เลยทุ่มลงทุนอสังหาและหุ้นต่อเนื่องจนทุกวันนี้ไม่ถึงสามสิบแต่เกษียรแล้วค่ะ ทรัพย์สินแค่ 500 ล้านเท่านั้นเอง  

อุ้ยตายขอโทษค่ะนึกว่าห้องนักเขียน
ความคิดเห็นที่ 77
ต้องขอโทษเจ้าของกระทู้นะครับ
ปัญหาคือหัวข้อกระทู้ซึ่งเข้าใจว่าต้องการอิงกับกระทู้ดังก่อนหน้านี้
แต่สงสัยตัวเลข 300 ล้าน คืออะไร ทรัพย์สิน,ยอดรายรับที่ทำ?
ถ้าพูดว่า30ล้านก็คงไม่สงสัยอะไร
เพราะปัญหาคือเรื่องระยะเวลาครับ

ข้อมูลที่คุณเขียนตอนนี้อายุ 30 ปี
ปี2005 เริ่มทำงานกับรุ่นพี่ตอนเรียนปี5
ปีถัดมา(2006) เรียนจบเริ่มทำงานที่บ.อินทีเรียร์
แล้วโดนบ.ลดคน(ซึ่งปกติเขาจะเลือกลดคนที่บ.ไม่ต้องการออกก่อน)

เริ่มทำร้านขนมปังที่สาทร-ปี2007 (? หรือถ้าไม่ผ่านโปร ก็ยังเป็น2006?)
มีคนมาตามให้ไปคุมงาน,เริ่มทำรับเหมาย่อยๆอยู่ปีกว่าๆ

รับงานใหญ่(2009?)จนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆช่วงพีคมีคนงาน 120 คน
เรียนโทเศรษฐศาสตร์ภาคค่ำด้วย

ซื้อรถให้พ่อตอนอายุ26(2010)
จบโทแล้วปิดบริษัทไปเรียนที่อังกฤษ(น่าจะประมาณ2011)

เท่ากับคุณทำรับเหมางานใหญ่ที่ไม่ใช่รับเหมาย่อยหลักแสน(กำไรหลักหมื่น5-10%ตามที่คุณว่า)
อยู่ประมาณ2-3ปีเท่านั้นเองก็เลิกแล้ว

ปัญหาที่สงสัยคือ งานรับเหมายิ่งใหญ่มูลค่างานสูงๆ
ยังไงงานหนึ่งก็สร้างกันเป็นปี ถ้าหลักหลายสิบล้านร้อยล้าน อาจจะ 2-3 ปี
แล้วตอนคุณปิดบริษัทคุณเคลียร์งานที่ค้างอยู่ยังไง
งานก่อสร้างไม่ใช่คิดจะเลิกก็เลิกไปได้เลย ถ้างานไม่เสร็จ
ถ้ารับเหมาต่อเติมนิดๆหน่อยๆก็โอเค ไม่มีปัญหา เคลียร์ได้ง่าย

ทีนี้ดูเรื่องเวลาว่าคุณกลับมาจากอังกฤษปีไหน
จากปัจจุบัน 2014
ตอนนี้คุณทำโรงแรมขนาดเล็กที่สุขุมวิทให้ฝรั่งบริหาร
แสดงว่าตอนเริ่มทำโรงแรมต้องย้อนไปสัก1ปีอย่างน้อย2013

คุณทำบ้านจัดสรรขนาด60หลัง ขายหมดใน 2 ปี
ก็ต้องเป็นช่วง2011-2013
ก่อนหน้านั้นคุณกลับมาช่วยพ่อสร้างบ้าน,ทำรับเหมาต่อกับลูกค้าเก่าอยู่ 6 เดือน
แสดงว่าคุณไปอังกฤษอยู่ไม่กี่เดือน ไม่ถึงปี

โครงการบ้าน 60 หลัง ทำเองโดยไม่มีประสบการณ์ด้านอสังหาเลย
สร้างขายหมดภายใน 2 ปี คือหลังจากคุณกลับมาพักเดียว
คุณมีศักยภาพสร้างบ้านปีละ30หลังเลยทีเดียว
แต่ตอนที่พ่อคุณสร้างบ้านใหม่
กลับให้คนอื่นมารับเหมาจนถูกโกง
ทำให้คุณต้องบินกลับมาจากอังกฤษเลิกเรียนโทการเงิน
แถมตอนปิดบริษัทไปอังกฤษแม่คุณยังไม่รู้เลย
เหมือนคุณไม่ได้คุยกับทั้งพ่อทั้งแม่เลย

ที่ดินที่สร้างบ้านขายเป็นของพ่อกับป้าคุณ
คิดง่ายๆบ้านเดี่ยว50ตารางวา*60หลัง=3000 ตรว.=7.5ไร่(ไม่รวมที่ว่างอีก30-40%)
หรืออาจจะหลังเล็กกว่านี้ คิดง่ายๆที่ดินเปล่าประมาณ 10 ไร่(4000ตรว.)
เดิมจะขาย19,000ต่อตรว.= 76 ล้าน
พ่อคุณก็มีทรัพย์สินไม่น้อยเลย
เงินที่กู้ธนาคารมาสร้างก็คงต้องเป็นพ่อ+ป้าคุณเป็นคนกู้

ผมถึงบอกว่าหัวข้อกระทู้มีปัญหา
มีเพื่อนวิศวะคุณมายืนยันถึง 2 คนว่าคุณมีตัวตนจริง
ถือว่าผมเชื่อว่าจริง
แต่หัวข้อกระทู้คุณทำให้คนงงมากเลยครับ

300 ล้านของคุณคืออะไร
จะว่ามาเขียนสร้างแรงบันดาลใจก็ยังไงๆอยู่
เพราะที่เขียนมาดูคุณยังสับสน และค่อนข้างจับจดมากเลยครับ
ทำโน่นก็เลิก ทำนี่ก็ทิ้ง
ดูชีวิตไม่มีเป้าหมายยังไงชอบกล
จะบอกว่าคุณเป็นคนสมถะ
แต่หัวข้อกระทู้นี่อ่านแล้วคันยิบๆอดสงสัยไม่ได้จริงๆครับ

ขอโทษอีกครั้งที่สงสัยนะครับ
ช่วยมาขยายความสักหน่อยก็จะดีครับ

.............................................................
ขอบคุณเจ้าของกระทู้นะครับ
ที่มาเพิ่มเติมให้หายสงสัยว่าคุณมีตัวตนจริงๆ

และก็ขอโทษอีกครั้งสำหรับการตั้งข้อสงสัยในตัวคุณ

ถึงยังมีเครื่องหมายคำถามหลายแห่งในเรื่องที่คุณเขียน
ทั้งเรื่องที่คุณมีต้นทุนเดิมจากทางบ้าน
รวมถึงตัวเลขทั้งหลายไม่ว่าจะในหัวข้อกระทู้
,บ้านในโครงการ 41 หลังหรือ 60 หลัง(ที่ขายหมดแล้ว?)
เรื่องลูกน้องต่างๆของคุณ
แต่ในโลกไซเบอร์แค่นี้ก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่ง

ขอบคุณที่มาแชร์ประสบการณ์ให้ฟังครับ
ความคิดเห็นที่ 50
ความคิดเห็นที่ 53
ยังไม่ถึง 300 ล้านแต่ใกล้มากๆ คาดว่าสิ้นปีน่าจะถึง แต่ผมเลือกต่างจาก จขกท. ตรงที่ผมไม่เลือกเกษียณ แต่ผมเลือกปรับการใช้ชีวิต อะไรที่ให้ Value กับตัวผมน้อย ผมตัดทิ้ง ผมมานั่งลิสต์สิ่งที่ผมอยากทำ สิ่งที่ผมอยากเห็นตัวเองในอีก 5 ปี คือตอน 40 ผมเริ่มทำสิ่งใหม่ๆที่ผมไม่เคยทำ เข้าไปในธุรกิจที่ไม่เคยทำ ขยายธุรกิจออกไป ปรับพอร์ทหุ้น เริ่มให้ Private bank Manage เงินบางส่วน แม้ Return จะห่วยกว่าที่ผมได้จากการทำ Stock picking ของตัวเอง แต่ผม Diversify มันออกไปใน Asset ที่หลากหลายขึ้น ไปในตลาดที่ไม่ใช่แค่ SET และ MAI สุดท้ายที่สำคัญที่สุดผมมีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น พาพ่อแม่ไปเที่ยวได้มากขึ้นและจะพาท่านไปอย่างน้อยไตรมาสละครั้ง พาไปตอนที่ท่านยังเดินไหวดีกว่ารอเที่ยวตอนแก่ที่เดินไม่ไหว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่