เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับผม เพราะระบอบทักษิณ

ต้องขอออกตัวก่อนครับว่า  ไม่มีเจตนาจะอวด  จะอวย  จะทะเลาะ อะไรกับใครทั้งสิ้น  เพียงแต่อยากเล่าเรื่องจริงที่เกิดขึ้นแค่นั้นครับ

   ผมเป็นคน ตจว. เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ ประมาณ 8-9 ปี ผมกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเมื่อปี 39 กลับไปเปิดร้านถ่ายเอกสารเล็ก ๆ (มากๆ)มีเครื่องถ่ายเก่า ๆ ตัวหนึ่ง  เครื่องคอมฯ  เครื่องเคลือบบัตร อย่างละตัวครับ  เมีย 1  ลูก 1  อายุ 6 เดือน    บ้านเช่า 2000 /เดือน(จ่ายรายปี)  
ข้าวไม่ต้องซื้อ   ในช่วง 3 เดือนแรก  มีรายได้วันละ  20-30 บาท  ซื้อไก่ 1 ไม้  10  บาท  กินทั้ง  3  มื้อกับเมีย  
ต่อมาเดือนที่ 4 5 6...  มีรายได้วันละ  50  บาท  (ดีใจแทบตาย)   วันไหนที่ได้  100  ดีใจยังกะถูกหวย

      พอปี 40  เศรษฐกิจไทยก็ทรุด  ช่วงนั้นนายชวน เป็นนายกฯ   ซึ่งการแก้ปัญหาขณะนั้น  นายชวนจะออกในแนวประหยัด  มัธยัสถ์     และมีการส่งเสริมทฤษฎีพอเพียง    ช่วงนั้นคนต่างจังหวัดกลับบ้านกันเยอะมาก   เพราะตกงาน  ค้าขายขาดทุน  แทบทุกคนกลับบ้านไปอาศัยพ่อแม่ที่บ้านนอกที่ส่วนมากเป็นเกษตรกร  ทำไร่  ทำสวน   ทำนา  กลับมาช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้าน  ก็ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ไม่ลำบากมาก    เพราะมีบ้านอยู่   มีข้าวกิน   อาหารการกินหาได้ตามท้องไร่ท้องนา  จะไม่มีก็แค่เงินเท่านั้น
    
      ช่วงนั้นทั้งสื่อมวลชน  รัฐบาล  นักวิชาการ  วิชาเกิน  ต่างมองเห็นเป็นแนวทางเดียวกันว่า   บ้านและครอบครัวที่ต่างจังหวัดของแต่ละคน  และการเกษตร นั่นแหละคือฐานที่มั่นของชีวิต  ภาคเกษตรคือเบาะรองรับการล้มที่ดีที่สุด   และขอบคุณเกษตรกรคนต่างจังหวัดที่ช่วยดูและและรับภาระช่วงที่เกิดวิกฤต

        ผมเปิดร้านปี 39   ปี 40 เศรษฐกิจทรุด  ประกอบกับร้านก็เล็ก  เงินทุนหมุนเวียน 4,000  บาท   หลักทรัพย์อะไรก็ไม่มี   ไปกู้เงินออมสินเขาก็ไม่ให้กู้    ไปกู้กรุงไทยเขาก็ไม่ให้กู้   ก็อยู่ไปตามประสารอวันตาย  นึ่งข้าวเหนียวใส่กระติบ   ซื้อไก่ไม้  10  ไม้หนึ่งกินกัน 2 คนผัวเมีย   เลิกเหล้า   เลิกบุรี่   เลิกเที่ยว  ลดรายจ่ายทุกอย่างครับ   ก็พออยู่ได้

        ต่อมาไม่นานมีการเลือกตั้ง   พรรคไทยรักไทย   เอาป้ายมาติดหน้าร้าน พร้อมกับข้อความ  คิดใหม่  ทำใหม่   ผมนึกในใจว่า  ยังงัยก็จะเลือกท่านทักษิณ   ด้วยเหตุผลที่ว่า   อยากลองของใหม่   ชอบเครื่องแบบ   หน้าตาท่านดี   รวย   และกล้าติดสินใจ  บุคลิกดี กล้าพูด  คุยกับฝรั่งเสียงดัง ฟังชัด  ฉะฉาน   ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก   (ก็รู้กันอยู่ว่าในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเลือกตั้งเสร็จก็งั้น ๆ  คล้าย ๆ กับว่าเขาขออำนาจเราไป   เมื่อได้แล้วก็จบกัน  ติดตามไม่ได้  ตรวจสอบไม่ได้   เรียกร้องไม่ได้ ทวงสัญญานโยบายไม่ได้)

    แต่...   จากวันนั้นวันที่  ไทยรักไทยมาแขวนป้ายหน้าร้าน  ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป...
          -  ผมมีงานมากขึ้นเพราะ  สส. เข้ามาถ่ายเอกสาร  หลักฐานต่าง ๆ  เยอะมาก   ตั้ง 8 - 9 เบอร์  แต่ละเบอร์ทำเอกสารไม่ใช้น้อย ๆ ทำให้ได้งานได้เงินมากขึ้น  ราคาดีขึ้น   เมื่อผลปรากฎว่า  ท่านทักษิณ  ชนะเลือกตั้ง  แถลงนโยบายเสร็จสรรพ   ด้วยวลีที่ว่า   "จะเป็นรัฐบาลที่ทำงานเหนื่อยและหนักเพื่อประชาชน"   การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทั้งภาครัฐ   ภาคเอกชน  ต่างสนใจในนโยบาย   (ในขณะที่ประเทศไทยเป็นหนี้ IMF  แต่ท่านทักษิณบอกว่าจะให้เงินชาวบ้านไปบริหาร หมู่บ้านละ 1 ล้าน   ตอนนั้น พรรร ปชป. เอาแต่นั่งหัวเราะ)  ข้าราชการตื่นตัว   มีความกระฉับกระเฉง   โครงการต่าง ๆ พรั่งพรูออกมา   (ซึ่งไม่บอกทุกท่านก็น่าจะรู้ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดไหน)
      
          -  ต่อมามีนโยบาย  ธนาคารคนจน  ของธนาคารออมสิน  ให้กู้รายละ  15,000  -  30,000  บาท  ให้กับคนทั่วไปและพ่อค้าแม่ค้า  โดยไม่ต้องมีหลักทรัพย์     ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน   ผมก็เอาด้วยครับ   ก็เอามาซื้อของเข้าร้านเพิ่ม  ใช้หนี้เขาสัก 2-3 เดือน  ก็ผ่อนเกือบหมด   ต่อมาก็มีโครงการสินเชื่อห้องแถว  ผมก็เอาด้วยครับ  เอามาซื้อเครื่องตัด   ซื้อเครื่องถ่ายเพิ่ม  ซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ    ต่อมาผมก็ไปขอสินเชื่อประเภทซื้อที่อยู่อาศัย    ธ.ออมสินเห็นว่าผมส่งเงินเขาดี  ไม่ขาดตกบกพร่องเขาก็ให้กู้ซื้อบ้านราคา  400,000  บาท (ร้านที่เช่าอยู่ทุกวันนี้)  ก็ผ่อนมาเรื่อยครับ ตอนนี้เหลือแสนกว่าบาท  ซึ่งเงินผ่อนกับเงินค่าเช่ามันก็พอๆกัน
        -   ต่อมาก็มีโครงการต่าง ๆ ออกมาจากรัฐอีกมากมาย ฯ  ซึ่งทุกโครงการล้วนแต่กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย กระจายเงิน  กระจายโอกาส    เช่น   ป.บัณฑิต   อาจารย์ 3   ผอ.กันดาร (ผอ.3.4)  เพิ่มเงิน ป.  ของตำรวจ   หวยบนดิน  เขียนจดหมายขอทุน   1 อำเภอ 1โรงเรียน  
โอท๊อป  แก้ปัญหาความยากจน  30 บาท  พักหนี้  ฯลฯ   ทุกโครงการ...ร้านค้าเล็ก ๆ อย่างผมก็จะได้งานเพิ่มขึ้น  แน่นอนว่ารายได้ก็ตามมา     ซึ่งเป็นคนละอย่างกันกับ  ท่านชวน   หลีกภัย   แห่ง ปชป.  ที่มุ่งเน้นการประหยัด  เก็บหอมรอบริบ  พอเพียง   (และหลายคนก็ได้รับโอกาสเหมือนผมนี่แหละ)

          จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้    จากที่ผมเป็นร้านเล็ก ๆ ในอดีต  ปัจจุบันก็ถือว่ามีความพร้อมในการให้บริการลูกค้ามากขึ้น
      มีเครื่องถ่าย  5  ตัว     เครื่องพิมพ์  2  ตัว    เครื่องปริ้น  7  ตัว   เครื่องคอม 2 ชุด   เครื่องตัด  อุปกรณ์อื่น ๆ อีก   มากมาย
      สั่งกระดาษเข้าครั้งละประมาณ  100-200  รีม(เอ4)  ก็เป็นเรื่องปกติ   ซื้อที่ในตัวอำเภอ 3 แปลง   มีรถคันละล้านขับ  จากร้านที่เช่าก็ซื้อเขาซะจะได้ไม่ต้องกลัวเขาไล่ที่    ส่งลูกเรียนพิเศษได้   ไปเที่ยวทะเลในวันหยุดได้   วันไหนว่าง ๆ ก็พาลูกเมียไปกินพิซซ่าได้  กินสุกี้ได้  ดูหนัง ตามห้าง ฯ ได้   มีโน๊ตบุ๊คให้ลูกใช้  มีโทรศัพท์มือถือดี ๆ เครื่องละหมื่นกว่า ๆ ใช้  มีทีวีจอ  40  นิ้วไว้ดู   มีคาราโอเกะไว้ร้อง  มีชุดโฮมเธียร์เตอร์  ชำระค่าเน็ตเดือนละ  700  ได้   และก็เป็นหนี้ได้สัก  2-300,000 บาท    คือ สรุปว่าชีวิตมันเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น  แม้มันจะไม่มากก็ตาม    อาจเป็นหนี้เป็นสินบ้าง  แต่ก็อยู่ในภาวะที่จะชำระได้    หักลบกลบหนี้แล้วก็พอมีกำไร   (มันก็ดีกว่าตอนทั้งวัน  ไก่ 1 ไม้  10  บาท กินทั้งผัวเมีย  จนชาวบ้านเขาต่างดูถูกว่า  สงสัยจะเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัวไม่ไหว)
      
         ที่เล่ามานี้   ผมไม่ได้ว่าจะอวด  จะอวย  จะทะเลาะอย่างที่ว่าไว้   เพียงแต่จะสะท้อนให้เห็นว่า

            1.  วันหนึ่งเมื่อคนกรุงเทพฯ หรือภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม เดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจ  พวกคุณก็เอาคนที่ตกงาน  เอาภาระของสังคม
ไปฝากไว้กับ  ภาคการเกษตร   ที่มีแต่คนแก่  คนเฒ่าเป็นผู้บริหาร   พวกเขาขาดทั้งเงินทุน  ขาดทั้งองค์ความรู้  การคมนาคม  อำนาจต่อรอง  ฯลฯ   แต่เขาก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูคนทั้งประเทศได้  จนประเทศฟื้นคืนสู่ปกติ
            แล้ววันหนึ่ง   วันที่พวกเขาทำการเกษตรแล้วพอจะมีกำไรบ้าง   พอที่จะปลดเปลื้องหนี้สินได้บ้าง    ภาคธุรกิจ-อุตสหกรรม    ก็ต่อต้านตั้งแง่กับเขาว่าได้มากไป  จะทำให้ประเทศชาติทรุด ทั้ง ๆ ที่วันที่ประเทศชาติทรุด พวกเขาเป็นคนดูแล  อย่างนี้ยุติธรรมสำหรับเขาแล้วหรือ  (ส่วนนักการเมืองบางฝ่ายก็ไล่ล่า  ไล่ล้มกัน   หาใช่การตรวจสอบเพื่อให้ภาคเกษตรกรได้ประโยชน์สูงสุดอย่างที่กล่าวอ้าง)

          
            2.    แล้วที่ผมบอกว่า  ผมสิ่งของต่าง ๆ นานา หลาย ๆ อย่าง  ก็ใช่ว่าผมจะอวด  เพียงแต่อยากจะสะท้อนให้เห็นว่า  
ของที่ผมซื้อหามาได้นั้น   ส่วนมาก  ชาวไร่ชาวนา เขาไม่ได้ผลิต   มีแต่คนรวย  พ่อค้า  นายทุน  เจ้าของโรงงาน   นายธนาคร  และคนชั้นกลาง-ชั้นสูง  เท่านั้นที่ร่วมกันผลิต
     นั้นแสดงว่า   แม้ผมจะทำมาหาได้  แต่สุดท้ายแล้วเงินก็กลับไปสู่พวกคุณที่เป็นพ่อค้านายทุน คนชั้นกลาง-ชั้นสูงอย่างพวกคุณ  ใช่หรือไม่   (แล้วพวกคุณจะบอกว่า   ท่านทักษิณฯ  เอาเงินมาแจกคนจนได้อย่างไร)

       ก็ใช่ว่าผมจะลุ่มหลงในโลกของทุนนิยมไปเสียทั้งหมด   เพราะในที่ทางที่ผมมี  ผมก็ทำตามที่พ่อท่านบอก (แต่ไม่ทำอย่างพ่อท่านทำ)   คือ  ปลูกทุกอย่างที่กิน  ปลูกข้าว (3 ไร่)  พริก  มะนาว  ข่า ตะไคร้  ใบมะกรูด  แมงลัก มะละกอ กะท้อน   มีบ่อปลาเล็ก ๆ 2 บ่อครับ  แต่จับปลากินได้ทั้งปี  มีกระถิน  ตำลึง  มะรุม  ผักพื้นบ้านก็เก็บกินได้ทั้งปีครับ ปลอดจากสารเคมีทุกชนิดครับ  ใช้ขี้วัว  ขี้ควาย เป็นปุ๋ย
(มะม่วงที่สวนผมลูกใหญ่ที่สุดในอำเภอครับ) ไก่ป่า..ก็เยอะสุดครับ   เป็นเถียงนาเล็ก ๆ ครับ   แต่อยู่ง่าย ๆ สบาย ๆ    

  "ต้องยอมรับว่า   ผมมีชีวิตแบบปกติสุขอย่างทุกวันนี้ได้เพราะนโยบายของท่านทักษิณ  ชินวัตร จริง ๆ แล้วแบบนี้  
ไม่ให้ผมรัก  ไม่ให้ผมเลือกท่าน     ก็ช่วยตอบผมหน่อยเถอะว่า  จะให้เลือกหมาที่ไหน"



     อ้อ...  ข้อมูลจริงครับไม่ได้ดราม่า    และยินดีต้อนรับทุกท่าน..ครับ..
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ชอบใจประโยคสุดท้ายครับ

ประเด็นที่ผมอยากจะเสริมก็คือ พวกที่ออกมาแอนตี้ จะบอกว่า ประชานิยม ทำให้ประชาชนเสพติดการแบมือขอเงิน พวกเขา (ชนชั้นกลาง) เสียภาษีมาแล้ว เงินภาษีของฉัน  อยากให้สร้างโน่นสร้างนี่้ให้พวกฉันใช้  พวกคนจนห้ามใช้  พวกนักการเมืองอย่าเอาเงินฉันไปใช้โกงกิน ฯลฯ

ผมก็พูดบ่อย ๆ ว่า ถ้านโยบายที่ประชาชนไม่นิยม แล้วจะมีรัฐบาลไว้ทำอะไร  เอาไว้นับประดับบนหอคอยงาช้างแบบสมัยเปรม?

ทั้งสุรยุทธ์ และอภิสิทธิ์ ก็ใช้นโยบายประชานิยมด้วยกันทั้งนั้น อย่ามาพูดเลย ว่าไม่ก๊อบปี้นโยบายของทักษิณ

ไอ้พวกที่ชอบพูดว่า "ชาติ" นั้น มันมีอยู่องค์ประกอบสามอย่าง ถึงจะเป็นชาติได้

1. ประชาชน
2. แผ่นดินที่เหยียบ
3. วัฒนธรรม

ถ้าไม่มีประชาชน ก็เป็นชาติไม่ได้ ถ้าไม่มีแผ่นดินเหยียบ ก็เป็นชาติไม่ครบ

แล้วก็พวกที่บอกว่า ขายชาติ เขาพระวิหาร เนื้อที่ 4.6 ตร.กม.นั้น ไอ้พวกนี้ต้องไปดูว่า พื้นที่ริมทะเล โดนน้ำกัดเซาะปีเท่าไหร่  หรือ พื้นที่ภูเก็ต โดนฝรั่งซื้อเท่าไหร่  สมุย ฯลฯ

และทุกวันนี้ ใครมีที่ดินมากที่สุด หากไม่นับภาครัฐ  และธนารักษ์  เสี่ยเจริญ เบียร์ช้างหรือเปล่า?  ใครเป็น land lord ตัวจริง  เสี่ยเจริญเขาซื้อไปก็ด้วยเงินของเขา ซื้อเวิ้งนาครเกษม จาก ตระกูล บริพัตร ของหม่อมสุขุมพันธ์  และซื้อนั่นซื้อนี่อีก

เพราะฉะนั้น ระบอบทักษิณ ที่เรียกว่า ทักษิโณมิกส์ เป็นระบบ dual track  คือ เศรษฐกิจส่วนหัว และ เศรษฐกิจรากหญ้า ต้องไปด้วยกัน

มีแต่พรรคประชาธิปัตย์และพวกอกหักทางการเมืองทั้งนั้นแหละ ที่มาโจมตีระบอบทักษิณบ้า ๆ บอ ๆ แบบทุกวันนี้
ความคิดเห็นที่ 29
ขณะนั้นผมรับราชการ ภรรยาค้าขาย ผมและภรรยาไม่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากรัฐบาลท่านทักษิณ แต่การค้าของภรรยาตอนนั้นรุ่งเรืองมากบางวันได้ถึงวันละแสนกว่าบาทก็มีอยู่บ่อย ๆ ส่วนผมต้องเหนื่อยมาก ๆ ทำงานเสาร์ อาทิตย์ ในสัปดาห์หนึ่งกลับบ้านตีหนึ่งตีสองถึงสามสี่วันโดยไม่ได้รับเบี้ยเลี้ยงหรือเงินนอกเวลา มีการจ้างลูกจ้างเรียกว่า สย. เข้ามาปฏิบัติงานระดมการแก้ปัญหาความยากจน สำรวจปัญหาเพื่อต้องการทราบแก่นแท้ของปัญหาความยากจนและต่อมาท่านนายกทักษิณได้นำปัญหาที่พบมาทดลองการแก้ปัญหาที่เรียกว่า "อาจสามารถโมเดล" ซึ่งเป็นที่รู้ ๆ กัน

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าช่วงนั้นบ้านเมืองมีท่าทีว่ารุ่งเรืองอย่างก้าวกระโดดประชาชนทุกระดับมีความสุข มีความหวัง แต่คนกลุ่มเล็ก ๆ ทนไม่ได้ เช่น นายทุนเงินกู้ พ่อค้ายาเสพติด เจ้ามือหวยเถื่อน เพราะคนกลุ่มนี้สูญเสียผลประโยชน์ที่เคยได้รับอย่างมหาศาล ข้าราชการต้องทำงานหนักขึ้น รัฐบาลเป็นที่รักของประชาชน ทำให้เกิดคนอีกกลุ่มหนึ่งทนไม่ได้อิจฉาริษยา จึงหาทางทุกวิธีที่จะล้มให้ได้และในที่สุดก็ใช้ทหารทำรัฐประหาร บ้านเมืองจึงถอยหลังลงเหวอย่างที่รู้กัน

ชีวิตผมเคยเห็นการรัฐประหารมาก็หลายครั้งแต่ก็ไม่คิดอะไรมาก แต่รัฐประหารปี 49 ทำให้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ และยังเกลียดผู้ทำรัฐประหารและเครือข่ายของมันจนทุกวันนี้
ความคิดเห็นที่ 8
1.  วันหนึ่งเมื่อคนกรุงเทพฯ หรือภาคธุรกิจ-อุตสาหกรรม เดือดร้อนเพราะเศรษฐกิจ  พวกคุณก็เอาคนที่ตกงาน  เอาภาระของสังคม
ไปฝากไว้กับ  ภาคการเกษตร   ที่มีแต่คนแก่  คนเฒ่าเป็นผู้บริหาร   พวกเขาขาดทั้งเงินทุน  ขาดทั้งองค์ความรู้  การคมนาคม  อำนาจต่อรอง  ฯลฯ   แต่เขาก็ทำหน้าที่เลี้ยงดูคนทั้งประเทศได้  จนประเทศฟื้นคืนสู่ปกติ


  ผมอ่านท่อนนี้แล้ว ซึ้งใจจริงๆ ครับ ในฐานะคนเมือง คุณ จขกท. พูดความจริงที่ ถูกต้องทั้งหมด
ความคิดเห็นที่ 6
คนกลุ่มนึงที่ผมรู้จักเรียกได้ว่าเศรษฐีใหม่ยุคทักษิณ เนื่องจากมาโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้

ทำให้ได้ตั้งเนื้อตั้งตัวจากนโยบายหลายๆอย่างในยุคทักษิณ สร้างกิจการจากเล็กเป็นใหญ่

คนเหล่านี้เรียกว่าเสื้อแดงได้ไม่้เต็มปากเพราะบางคนไม่เคยมีกิจกรรมทางการเมืองอะไรเลยก็มี

แต่ทุกครั้งเมื่อมีการเลือกตั้ง คนเหล่านี้รวมทั้งลูกหลาน/ ลูกน้องต่างกาให้พรรคทักษิณทุกครั้งไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นชื่อพรรคอะไร

เรื่องประชานิยมผมไม่เห็นว่าจะประชานิยมเกินไปจนชาติล่มจมยังไง พรรคประชาธิปัตย์ก็ทำเลียนแบบแต่ของปลอมย่อมทำไม่ได้เท่าของจริงๆ

ยุคทักษิณ ให้เข้าถึงแหล่งเงิน และเป็นหนี้ที่ต้องใช้คืนอย่างออมสินกู้ครั้งแรก 10,000 บาท(แบบมีคนค้ำหลายคน) ถ้าประวัติดีชำระคืนแล้วกู้เพิ่มได้อีก

            เรียกว่า                    ทักษิณให้ทุน  

ยุคอภิสิทธ์ แจกเงินกันโดยตรง แจกเช็ค 2,000 บาทให้กับผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในระบบซึ่งเป็นคนทำงานทั้งนั้นโดยไม่ต้องใช้คืน

เรียกว่า                               อภิสิทธิ์ให้ทาน
ความคิดเห็นที่ 5
ในรัฐบาลทักษิณ  ดิฉันไม่ได้อะไรจากรัฐบาลเลย  ครอบครัวดิฉันสร้างเองและทำเองกำมือล้วนๆ แต่สิ่งที่ได้คือความมั่นใจในอนาคต  
ที่กำลังจะเห็นเป็นรูปเป็นร่าง แต่จู่ก็มี อมนุษย์ มาทำลายความมั่นใจที่ดิฉันมี


แต่ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์  ดิฉันไม่ได้ แม้แต่เช็ค 2,000 บาท  แต่สิ่งที่ได้คือเพื่อนบ้านที่ทยอยย้ายเข้ามาอยู่รอบๆ บ้านดิฉัน
เป็นพวกนักธุรกิจขายตรง (ยาบ้า,หวยใต้ดิน)เพียบ แถมกฎหมายทำอะไรมันไม่ได้ด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่